• ทรัมป์อยากให้บริษัทสหรัฐฯออกจากจีน แล้วจีนจะทำอย่างไรต่อ?

    26 สิงหาคม 2562 | Economic News
  

ท่ามกลางภาวะความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น บริษัทสหรัฐฯได้เผชิญกับความซับซ้อนในการทำธุรกิจภายในประเทศจีน ขณะที่บริษัทจีนก็กำลังหาหนทางในการปรับตัว ซึ่งทั้งหมดอาจเป็นผลดีต่อธุรกิจภายในประเทศจีน นักวิเคราะห์กล่าว

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศจะขึ้นภาษีสหรัฐฯเป็นมูลค่า 7.5 หมื่นล้านเหรียญในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค. ส่งผลให้ทางสหรัฐฯโต้กลับด้วยการเพิ่มอัตราภาษีเป็น 5.5 แสนล้านเหรียญ

การประกาศขึ้นภาษีรอบล่าสุดหมายความว่า ภายในสิ้นปีนี้ สินค้านำเข้าจากจีนสู่สหรัฐฯทุกรายการจะถูกขึ้นภาษี

แม้ว่าการขึ้นภาษีจะเป็นการสร้างภาวะให้กับบริษัทจีน ซึ่งกำลังถูกกดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอยู่แล้ว แต่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ธุรกิจจีนบางส่วนสามารถหาหนทางที่จะทำให้พวกเขายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง แต่จะต้องดูดซับการถุกขึ้นภาษีเข้ามาบ้างก็ตาม

อดีตรองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน มีมุมมองว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเป็นสถานการณ์ระยะยาว พร้อมย้ำว่า ทางรัฐบาลจีนยังรอคอยที่จะหาข้อตกลงที่ยุติธรรมร่วมกับสหรัฐฯ แต่ก็มีความพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบในทางลบจากสงครามการค้าเช่นกัน

ทั้งนี้ หนทางที่รัฐบาลจีนอาจใช้เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจภายในประเทศ มี 4 หนทาง ดังนี้

1. เพิ่มการสนับสนุนจากภาครัฐ

2. เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้าถึงตลาดจีนได้มากขึ้น โดยอาจเป็นการใช้นโยบายการค้าเสรี หรือยุทธศาสตร์ถนนสายไหม

3. พัฒนาระบบที่สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐวิสากิจและบริษัทต่างชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4. ใช้นโยบายลดดอกเบี้ยหรือภาษี


บริษัทจีนจะทำอย่างไรต่อ?


การประกาศขึ้นภาษีรอบล่าสุด บ่งชึ้ถึงความล้มเหลวของการรักษาสัญญาที่ผู้นำของทั้งสองประเทศให้ไว้ในการเจรจาเมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ระบุว่าจะไม่ขึ้นภาษีต่อกันและกัน

นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group มองว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ดูจะล้มเลิกความพยายามที่จะหาข้อตกลงร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรอจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020

นักวิเคราะห์จาก Caixin มองว่า หากบรรดานักลงทุนเริ่มมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจจีนอาจได้รับผลประโยชน์แทน เนื่องจากในระยะยาว การขึ้นภาษีของสหรัฐฯจะส่งผลกระทบในทางลบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการบังคับให้บรรดาผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

โดยหนึ่งในสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้า คือการที่บริษัทในประเทศจีนได้รับส่วนแบ่งทางตลาดแทน ในขณะที่สหรัฐฯสูญเสียส่วนแบ่ง ปัจจุบันจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากภาคสินค้าการเกษตร ซึ่งบริษัทในจีนได้โยกย้ายแหล่งเข้าซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ออกจากสหรัฐฯเข้าหาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบลาตินอเมริกา


ทรัมป์อยากให้บริษัทสหรัฐฯออกจากจีน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความออกคำสั่งให้บริษัทสหรัฐฯเริ่มต้นหาทางเลือกอื่นแทนที่จีนโดยทันที รวมถึงนำบริษัทกลับมาดำเนินการผลิตที่สหรัฐฯ แม้จะไม่ชัดเจนว่านายทรัมป์สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีสั่งการให้บริษัทสหรัฐฯดำเนินการเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ก็ตาม

นักวิเคราะห์จาก Hinrich Foundation มองว่า หากคำสั่งดังกล่าวมีผลขึ้นจริง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่จะเกิดช่องว่างภายในเศรษฐกิจจีนจากโยกย้ายออกของบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้บริษัทของจีนเข้ามาทดแทนช่องว่างดังกล่าว

แต่การดำเนินการเช่นนั้นจะทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นในความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นอกจากนี้ ควรคำนึงด้วยว่า ธุรกิจสหรัฐฯในประเทศจีนถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับธุรกิจจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิดหรือนวัตกรรม การถอนตัวออกจากเศรษฐกิจจีนจะทำให้สูญเสียโอกาสสำคัญในการเติบโตในเศรษฐกิจโลก

หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาทางการค้าได้ คือการที่ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าเจรจากัน และพยายามหาหนทางที่จะลบล้างการขึ้นภาษี และพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าให้มั่นคงในระยะยาว


ที่มา : CNBC

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com