· ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.4% แถว 105.73 เยน/ดอลลาร์ หลังบรรดานักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกที่น้อยลงเกี่ยวกับโอกาสที่สหรัฐฯ-จีนจะสามารถหาข้อตกลงการค้าร่วมกันได้ ตลาดจึงค่อนข้างกลับมาอยู่ในภาวะ Risk-off เป็นบางส่วนอีกครั้ง
ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า 0.06% แถว 97.960 จุด โดยค่าเงินถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับลดลง จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดยังมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์จาก IG Securities ระบุว่า แม้สหรัฐฯและจีนจะส่งสัญญาณถึงความประสงค์ที่จะกลับมาเจรจากันอีกครั้ง แต่โอกาสที่ทั้งสองประเทศจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก็ยังคงไม่ชัดเจน
การปรับแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตลาดด่วนตัดสินใจมากเกินไป ค่าเงินดอลลาร์วันนี้จึงเผชิญแรงเทขายลงมา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดยังมีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับโอกาสที่จะเจรจาสำเร็จ
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับลดลงสู่ระดับ 1.5232% ในช่วงตลาดเอเชียวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 2 ปีอยู่ที่ 1.5267% การเคลื่อนไหวของพันธบัตรจึงยังอยู่ในภาวะผกผัน ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะเข้าภาวะถดถอยในอนาคต
· Citibank ชี้ เงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าถึงระดับ 100.00 เยน/ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก Citibank มีมุมมองว่า หากเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยง ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ (USD/JPY) จะมีโอกาสแข็งค่าลงไปถึงระดับ 100.00 เยน/ดอลลาร์ หากหลุดแนวรับสำคัญที่ 104.80 – 104.50 เยน/ดอลลาร์
Key Quotes:
- สงครามการค้าที่ขยายตัว ส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลเข้าค่าเงินเยน
- ถ้อยแถลงของประธาน ณ เมืองแจ็คสัน โฮล มีการกล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ระบุถึงมาตรการป้องกัน ส่งผลให้ตลาดมีมุมมองไปในเชิงผ่อนคลายทางการเงิน
- หากบีโอเจมีการส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบาย จะยิ่งหนุนให้ค่าเงินเยนแข็งค่า
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมมาจากการแข่งขันกีฬา Rugby World Cup และโอลิมปิกในปี 2020
- ระยะห่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯกับญี่ปุ่น น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินเยนแข็งค่าต่อจากระดับ 100.00 เยน/ดอลลาร์
· รัฐบาลจีนประกาศตั้งค่ากลางเงินหยวนไว้ที่ระดับ 7.0810 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่ากว่าค่ากลางของเมื่อวานแต่แข็งค่ากว่าที่ตลาดคาการณ์ไว้ที่ 7.1055 หยวน/ดอลลาร์ และยังเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ขณะที่จีนยังคงอยู่ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์จากธนาคาร OCBC มองว่า การที่จีนตั้งค่ากลางเงินหยวนแข็งค่ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนต้องการชะลออัตราการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน
บรรดานักวิเคราะห์ยังมีความเห็นแตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับการกำหนดค่ากลางของเงินหยวน แต่เห็นพ้องกันว่า ทิศทางการกำหนดค่ากลางจะขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนเป็นหลัก
· ผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมในประเทศจีนกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในเดือน ก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและภาคยานยนต์ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงรวมถึงสงครามการค้ากับสหรัฐฯ น่าจะยังเป็นปัจจัยที่กดดันภาพรวม
ทั้งนี้ ภาพรวมรายปีของผลประกอบการภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 2.6% ในเดือน ก.ค. สู่ระดับ 5.127 แสนล้านหยวน (7.228 หมื่นล้านเหรียญ) เพิ่ทขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่ 3.1%
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า หลังผ่านพ้นการประชุม G-7 ไป นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีท่าทีและน้ำเสียงที่ดูจะอ่อนข้อให้กับจีนมากขึ้น เพียงไม่กี่วันหลังจากที่นายทรัมป์สร้างความผันผวนให้กับตลาด ด้วยการประกาศขึ้นภาษีจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายทรัมป์จะมีท่าทีที่นุ่มนวลลงกับจีน เขาก็ยังไม่ได้ละทิ้งกลยุทธ์ที่ใช้กดดันการค้ากับจีนไปแต่อย่างใด
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้นำประเทศในกลุ่ม G-7 ต่างพยายามเกลี่ยกล่อมนายทรัมป์ให้ลดความตึงเครียดกับจีนลง หลังจากนั้น นายทรัมป์ก็ได้อ้างว่า จีนเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาเพื่อขอกลับมาเจรจากับสหรัฐฯ แม้ทางนายทรัมป์จะตอบรับข้อเรียกร้องจากจีน แต่เขาก็ยังมีท่าทีที่จะไม่ลดละการกดดันการค้ากับจีนต่อไป
· ประธานสมาคมธุรกิจอาเซียน ระบุว่า บรรดานักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับประเทศไทย “อย่างจริงจัง” ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กำลังระอุ
โดยก่อนหน้านี้ อาจมีรายงานว่าเวียดนามเป็นประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากสงครามการค้ามากที่สุด เนื่องจากการย้านฐานการผลิตเข้ามาในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ตลาดแรงงานในเวียดนามเริ่มที่จะถึงจุดอิ่มตัว ดังนั้นผู้ประกอบการจึงเริ่มมองหาแหล่งการลงทุนใหม่ในแถบเอเชีย หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
จากรายงานของประธานสมาคมฯ มีบริษัทชื่อดังถึง 3 บริษัทที่ได้ย้ายแหล่งการผลิตออกจากจีนมาสู่ประเทศไทยแล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่า 3 บริษัทดังกล่าวคือบริษัทอะไรบ้าง
ทั้งนี้ ในเดือน พ.ค. ปี 2017 ตั้งแต่ก่อนหน้าที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเริ่มเปิดฉากขึ้นภาษี ผู้ผลิตจักรยานยนต์รายใหญ่อย่าง Harley Davidson ได้เริ่มย้ายแหล่งการผลิตเข้ามาในไทย และผลตอบแทนที่ได้คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 181% ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกผลิตและส่งออกจากโรงงานผลิตในไทย
· ยอดส่งออกของเยอรมนีในไตรมาสที่ 2/2019 เบื้องต้นประกาศออกมาชะลอตัว -0.1% ขณะที่ทางรัฐบาลเยอรมนีระบุว่า ยอดส่งออกของประเทศชะลอตัวด้วยอัตราที่มากกว่ายอดนำเข้า ส่งผลให้ดุลการค้าของเยอรมนีชะลอตัวลง -0.5% จากภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจ
· นายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุว่า ที่ประชุม G-7 ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการนำรัสเซียกลับมาร่วมการประชุมภายในปีหน้า ที่จะจัดขึ้นในสหรัฐฯ ตามขอเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐฯได้แต่อย่างใด
ขณะที่ทางนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จะเป็นผู้เตรียมการประชุมร่วมกับผู้นำรัสเซียและยูเครน เพื่อประชุมเกี่ยวกับผลลัพธ์ของวิกฤติในยูเครน ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
· สถาบันสถิติ INSEE ของฝรั่งเศส เผยข้อมูลการผลิตฝรั่งเศสปรับลดคาดการณ์แผนการลงทุนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยข้อมูลการลงทุนในภาคการผลิตปีนี้หดตัวลง 6% จากคาดการณ์ในเดือนเม.ย. ที่อยู่ที่ระดับ 11% และมีการปรับลดดลงอีก 2% จากค่าเฉลี่ยในปีนี้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลี่ยงการประชุม G-7 ในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมระบุว่า ความมั่งคั่งของสหรัฐฯวางอยู่บนรากฐานของพลังงาน และจะไม่ยอมให้ความฝันกับกังหันลมเข้ามาทำลายความมั่งคั่งนั้นโดยเด็ดขาด
ขณะที่บรรดาผู้นำประเทศ G-7 ที่เหลือ สามารถหาข้อสรุปแผนบรรเทาไฟป่าอเมซอน โดยจะเริ่มต้นแผนดังกล่าวในการประชุมสหประชาชาติ ณ เมืองนิวยอร์ก ภายในเดือนหน้า
· นางแครี ลาม ผู้นำรัฐบาลฮ่องกง ออกมากล่าวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เหตุการประท้วงในฮ่องกงทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การประท้วงที่กินเวลามากว่า 3 เดือน กำลังขยายตัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลฮ่องกงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง และไม่ยอมแพ้ที่จะผลักดันให้เกิดการเจรจาร่วมกันทุกฝ่าย
เหตุประท้วงในฮ่องกงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยายตัวรุนแรงนับตั้งแต่ที่ฝ่ายตำรวจเปิดฉากด้วยการยิงยืนใหญ่น้ำกับแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการขว้างอิฐและระเบิดขวดใส่เจ้าหน้าที่
· รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนี มีความเห็นว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและยุโรปน่าจะดำเนินไปด้วยความยากลำบาก แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การเจรจาสามารถบรรลุผลได้มากขึ้น
· รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจญี่ปุ่นแสดงความเชื่อมั่นว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่นที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา จะไม่มีผลลัพธ์ที่ออกมาสร้างความยากลำบากให้กับผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
ถ้อยแถลงของรัฐมนตรี เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯและญี่ปุ่นสามารถหาข้อตกลงร่วมกันในประเด็นหลักๆเกี่ยวกับการค้าระหว่างการประชุม G-7 ร่วมกันได้
· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า นายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน เผยว่า อิหร่านจะไม่ทำการเจรจาใดๆกับทางสหรัฐฯ จนกว่าจะยกระดับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทั้งหมดของอิหร่าน ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะเข้าพบกับอิหร่านเพื่อพยายามหาทางยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ดี ผู้นำอิหร่าน ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อิหร่านพร้อมจะเจรจาเสมอ แต่สหรัฐฯก็ต้องมีการยกระดับทางมาตรการต่างๆทั้งหมดที่เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมสำหรับอิหร่าน
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว ณ ที่ประชุม G7 ว่าทางการจีนมีการติดต่อกับผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯว่าต้องการกลับมาเจรจากันอีกครั้ง ขณะที่นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นผู้นำในการเจรจากับทางสหรัฐฯ ก็กล่าวว่า จีนมีความตั้งใจจะแก้ไขปัญหาทางการค้าด้วยการเจรจาอย่างสันติวิธี
น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.4% ที่ะรดับ 58.96 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.4% เช่นเดียวกัน ที่ระดับ 53.87 เหรียญ/บาร์เรล
นักวิเคราะห์อาวุโสประจำ OANDA สำหรับตอนนี้สถานการณ์อยู่ในความตื่นเต้นเนื่องจากขึ้นอยู่กับถ้อยแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่ามกลางตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างฉับพลัน