· ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางภาวะผกผันของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่จุดประกายภาวะเศรษฐกิจถดถอยและทำให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งนี้ ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าลงมาบริเวณ 105.82 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทรงตัวที่ 1.484% หลังไปทำต่ำสุดตั้งแต่ก.ค. ปี 2016 ที่ระดับ 1.443% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปียังอยู่ต่ำกว่า 2 ปีซึ่งเป็นการทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2007
ทางด้านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับตัวลงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.9072%
ค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1085 ดอลลาร์/ยูโร จากความหวังที่ว่าการเลือกตั้งทั่วไปในอิตาลีอาจเลี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าใกล้ระดับสูงสุดรอบ 1 เดือนที่ 1.2310 ดอลลาร์/ปอนด์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและจีนอายุ 10 มี Spread ต่อกันกว้างมากถึง 1.58% ซึ่งถือเป็นความกว้างที่สูงที่สุดตั้งแต่ ธ.ค. ปี 2017 ขณะที่ค่าเงินหยวนอยู่ในทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยค่าเงินหยวน ณ ปัจจุบันมีระดับการซื้อขายที่ 7.1568 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2008
ทั้งนี้ ภาพรวมค่าเงินหยวนอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
· ผลกระทบเชิงลบจากปัญหาตึงเครียดสงครามการค้าของสหรัฐฯ-จีน ประกอบกับแนวทางปฏิรูปภาษีดูจะส่งผลให้จีนจะเริ่มทำการปรับลดดอกเบี้ยบ้างในการประชุมเดือนหน้านี้ แต่ภาคธนาคารหลายรายคาดว่า ธนาคารกลางจีนน่าจะปรับลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสนับสนุนต่อภาวะเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว
เมื่อวานนี้เฟดปฎิเสธข้อเรียกร้องของอดีตประธานเฟดในการปรับลดดอกเบี้ยตามแรงกดดันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โฆษกเฟด กล่าวว่า โดยทุกการตัดสินใจของเฟดจะได้รับคำแนะนำจากทางรัฐสภาในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการจ้างงานอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น ซึ่งภาวะทางการเมืองจะเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาแต่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาเกี่ยวข้อง
· อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการเจรจาของสหรัฐฯ กล่าวว่า ชาติมหาอำนาจควรร่วมมือกับสหรัฐฯในการทำข้อตกลงกับทางการจีน เพื่อให้เกิดข้อปฏิบัติทางการค้าที่ยุติธรรมต่อทุกๆฝ่าย ซึ่งหากว่าญี่ปุ่น อียู อังกฤษ และฝรั่งเศสต้องการเห็นความชัดเจนจากจีนมากขึ้น พวกเขาก็ควรร่วมมือกับสหรัฐฯเพื่อกดดันให้จีนทำข้อตกลง มิเช่นนั้นภาคบริษัทของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบจากความไม่ยุติธรรมทางการค้าเช่นเดียวกัน
· เกาหลีใต้ร้องเรียนต่อเอกอัครราชทูตของญี่ปุ่นทำการคัดค้านการตัดสินใจที่จะถอนเกาหลีใต้ออกจากหนึ่งในสถานะผู้ส่งออกที่จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นและปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุดญี่ปุ่นมีการถอนรายชื่อเกาหลีใต้ออกจาก “White List” ของประเทศคู่ค้าในเดือนนี้
· ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.3% ที่ะรดับ 55.63 เหรียญ/บาร์เรล
หลังจากรายงานอุตสาหกรรมพบว่าสต็อกในสหรัฐฯปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 1.0% ที่ระดับ 60.10 เหรียญ/บาร์เรล
สถาบันปิโตรเลียมสหรัฐฯ (API) ได้เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 11.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลงเพียง 2 ล้านบาร์เรล โดยเป็นผลมาจากอัตราการผลิตของโรงกลั่นฯ ในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง