· ค่าเงินดอลลาร์ปรับขึ้นเล็กน้อยตอบรับข่าวที่สหรัฐฯและจีนจะมีการกลับมาเจรจาทางการค้ากันอีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ จึงช่วยผ่อนคลายความกังวลจากสภาวะ Trade War ลงไป
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีน กล่าวเมื่อวานนี้ว่า สองประเทศจะมีการกลับมาเจรจาแบบ Face-to-Face แต่ก็มีความคาดหวังต่อความคืบหน้าจะต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐฯจะพึงพอใจกับเงื่อนไขหรือไม่ ขณะเดียวกันเขาก็แสงความคาดหวังว่าสหรัฐฯจะยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่กำหนดจะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ระดับ 98.406 จุด โดยได้รับอานิสงส์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้น แต่การแข็งค่าเป็นไปอย่างจำกัดจากข่าวที่ข้อมูลจีดีพีสหรัฐฯชะลอตัวลงเกินคาดในไตรมาสที่ 2/2019 แม้ว่าข้อมูลค่าใช้จ่ายผู้บริโภคจะออกมาดีขึ้นในรอบ 4 ปีครึ่งก็ตาม
ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง 0.31% ที่ระดับ 106.44 เยน/ดอลลาร์ แต่ภาพรวมเดือนนี้ปรับแข็งค่าได้ประมาณ 2%
ค่าเงินปอนด์ยังคงอ่อนตัวหลังจากที่ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตีอังกฤษมีแผนจะเลื่อนการเปิดประชุมสภาออกไปจึงยิ่งเพิ่มโอกาสที่ Brexit จะจบลงแบบ No-Deal โดยค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.16% ที่ระดับ 1.2189 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากปรับไปทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ม.ค. 2017 บริเวณ 1.2015 ดอลลาร์/ปอนด์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯชะลอการปรับตัวลง หลังจากที่ทางการจีนมีสัญญาณบ่งชี้ต่อการเปิดโอกาสการเจรจาเพื่อยุติ Trade War กับทางสหรัฐฯ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นมาที่ 1.513% ขณะที่อัตราผลตอบแทน 2 ปีก็ยังทรงตัวได้สูงกว่าที่ระดับ 1.522%
สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับขึ้นเหนือผลตอบแทนพันธบัตร 3 เดือนได้อีกครั้ง และล่าสุดอยู่ที่ 1.992% โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีขึ้นหลังจากจีนแสดงความคาดหวังว่าจะสามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯได้
อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์จีน ยังระบุถึงกำลังจัดการหารือเรื่องเจรจาการค้ากับสหรัฐฯในเดือนก.ย. และแสดงความเห็นว่า สถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายและประเทศอื่นๆทั่วโลก จึงอยากให้เกิดการเจรจาเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างกัน นอกจากนี้ จีนยังมีการส่งสัญญาณว่าจะไม่ทำการตอบโต้การขึ้นภาษีครั้งล่าสุดของสหรัฐฯ แต่ก็คาดหวังว่าจะเห็นสหรัฐฯไม่ทำการขึ้นภาษีจีนด้วยเช่นกัน
· รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า รัฐบาลจีนกำลังศึกษาระดับการพึ่งพาซัพพลายเออร์สหรัฐฯของบริษัทจีน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดความจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กำลังระอุ โดยบริษัทที่รัฐบาลจีนกำลังมีการดำเนินงานร่วมกัน ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi, Oppo และ Vivo
ในขณะเดียวกัน รายงานจากหนังสือพิมพ์ People’s Daily ของจีน ระบุว่า รัฐบาลจีนได้เร่งเครื่องดำเนินแผนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ ด้วยการขยายความร่วมมือออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมไปถึงบรรดาประเทศในแถบลาตินอเมริกา
· นายมัตเตโอ เรนซี อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี และหัวหน้าพรรค Democratic Party มีความเห็นว่า ระบบการเมืองของอิตาลีกำลังถอยห่างออกจากการเป็นประชานิยม พร้อมคาดการณ์ว่า การกลับรวมพรรคระหว่าง Democratic Party และ Five-Star Movement จะสามารถรักษาอำนาจในการบริหารร่วมกันได้ จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมคือในปี 2023
· รายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่า ตรวจพบการระเบิดที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ ในน่านน้ำทางตอนเหนือของคาบสมุทรรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ซากขีปนาวุธของรัสเซียที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานนิวเคลียร์จากก้นสมุทร
เหตุระเบิดต้องสงสัยดังกล่าว สร้างความกังวลให้กับสหรัฐฯว่า รัสเซียอาจกำลังทดสอบขีปนาวุธพลังงานนิวเคลียร์ที่เรียกว่า Burevestnik missile หรือที่สหรัฐฯเรียกว่า Skyfall
นอกจากนี้ ทาง CNBC ยังได้รับทราบว่า ทางรัสเซียพยายามที่จะเก็บกู้ซากขีปนาวุธของพวกเขาที่สูญหายไปในมหาสมุทรเมื่อปีก่อน
· น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้นโดยปราศจากแรงกดดันจากข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวลดลง จึงเป็นแรงหนุนให้แก่ราคาน้ำมันดิบ WTI
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 51 เซนต์ ที่ระดับ 61 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 87 เซนต์ หรือ +1.7% ที่ระดับ 56.71 เหรียญ/บาร์เรล