· ค่าเงินปอนด์เคลื่อนไหวใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลางความเสี่ยงเกี่ยวกับกรณี Brexit ที่กดดันตลาด หลังบรรดา ส.ส. อังกฤษเริ่มดำเนินการกีดกันไม่ให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษสามารถนำอังกฤษออกจากอียูแบบ No-deal ได้
ค่าเงินปอนด์กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวแถวระดับ 1.2035 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากก่อนหน้านี้อ่อนค่าหลุดระดับ 1.20 ดอลลาร์/ปอนด์ลงไป
· ตลาดการเงินสหรัฐฯยังคงปิดทำการเนื่องในวัน Labor day แต่ความอ่อนแอของสกุลเงินอื่นๆ ประกอบกับการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯในตลาดเอเชียวันนี้ ช่วยหนุนให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่า 0.22% แถว 99.284 จุด
· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าแถว 1.0954 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ปี 2017 ท่ามกลางความเชื่อมั่นในค่าเงินที่อ่อนแอ หลังค่าเงินหลุดแนวรับสำคัญที่ 1.1000 ดอลลาร์/ยูโรลงมา
· ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1% ในการประชุมวันนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่า 0.11% แถว 0.67111 ดอลลาร์ ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ธนาคารกลางจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งเพื่อช่วยหนุนอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
· EUR/USD technical analysis: ฝั่งขาลงจับตาแนวรับเดิม ท่ามกลางค่าเงินที่อ่อนค่าต่อเนื่อง
ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ (EUR/USD) ยังคงปรับอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และเข้าใกล้ระดับต่ำสุดของเดือน พ.ค. ปี 2017
ขณะที่การเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ยและเส้น MACD กำลังส่งสัญญาณว่าค่าเงินยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก แต่เส้นแนวรับของเทรนขาลงที่คงอยู่มากว่า 2 เดือน ที่ระดับ 1.0932 ดอลลาร์/ยูโร อาจหยุดการอ่อนค่าและดีดค่าเงินกลับขึ้นมาได้ แต่ถ้ารับไม่อยู่ ค่าเงินจะแนวรับถัดไปที่ 1.0900 ดอลลาร์/ยูโร ตามมาด้วยระดับ 1.0780 ดอลลาร์/ยูโร
ในทางกลับกัน ค่าเงินจะมีแนวต้านแรกที่ระดับ 1.0988 ดอลลาร์/ยูโร ตามมาด้วยระดับต่ำสุดของวันที่ 1 ส.ค. ที่ 1.1027 ดอลลาร์/ยูโร และเส้นค่าเฉลี่ยราย 10 วันที่ 1.1056 ดอลลาร์/ยูโร หากค่าเงินสามารถปรับขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ ระดับที่ต้องจับตาต่อไปจะแนวต้านของเส้นเทรนขาลงที่ระดับ 1.1150 ดอลลาร์/ยูโร
· USD/JPY: เงินเยนอ่อนค่า ท่ามกลางดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ฟื้นตัว
ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์อ่อนค่าหลุดระดับ 106.30 เยน/ดอลลาร์ขึ้นมา และมีเป้าหมายถัดไปที่ 106.50 เยน/ดอลลาร์ โดยมีแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดดูจะไม่สะทกสะท้านต่อความเสี่ยงทางการเมืองในฮ่องกงและ Brexit รวมถึงทางการค้า
นักวิเคราะห์จาก FX Street ประเมินว่า ค่าเงินเยนระยะสั้นน่าจะเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีแกนกลางอยู่ที่ระดับ 106.30 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่กราฟราย 4 ช.ม. ค่อนข้างที่จะเป็นฝั่งขาลง โดย Indicators ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวทรงตัวหรือค่อนข้างชี้ลง ดังนั้น ค่าเงินมีแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้ง หากแข็งค่าหลุดระดับ 106.00 เยน/ดอลลาร์ และภาพระยะยาวจะเข้าศู่ทิศทางขาลงโดยสมบูรณ์หากหลุดระดับ 105.60 เยน/ดอลลาร์
· ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าหลุดระดับ 1.20 ดอลลาร์/ปอนด์ ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2017 ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 1.1997 ดอลลาร์/ปอนด์ ท่ามกลางโอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายในการประชุมรัฐสภาอังกฤษวันนี้
บรรดา ส.ส. อังกฤษเริ่มกลับมาทำงานในรัฐสภาหลังผ่านวันหยุดช่วงซัมเมอร์ไป โดยมีการรวมกลุ่มของ ส.ส. ที่ถูกคาดว่าจะผลักดันให้เกิดการลงมติฉุกเฉินเพื่อชิงอำนาจในการแก้ไขกำหนดการของรัฐสภา หากการลงมติสามารถผ่านไปได้ นายจอห์น บอริส นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะไม่สามารถสั่งชัทดาวน์รัฐสภาระหว่างวันที่ 9 ก.ย. – 14 ต.ค. ได้
· นายฟิลลิป แฮมมอนด์ อดีตรัฐมนตรีการคลังอังกฤษ แสดงความเชื่อมั่นว่า จำนวนส.ส. ฝ่ายค้านและฝ่าย Conservative ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีจำนวนมากพอที่จะเอาชนะรัฐบาลชุดปัจจุบันได้
· Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์จาก 20% เป็น 25% ต่อกรณีที่อังกฤษจะออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ ท่ามกลางข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อในรัฐสภาอังกฤษต่อแผน Brexit
· ที่ปรึกษาประจำรัฐบาลจีน กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้ดำเนินการ “ทุกวิถีทาง” เพื่อยกเลิกความยืดเยื้อของการเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯไปหมดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา จีนได้ผ่านร่างกฏหมายการลงทุนใหม่ เพื่อตอบสนองกับทุกๆปัญหาที่บริษัทต่างชาติประสบในการลงทุนในประเทศจีน
ดังนั้น ที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับนายนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่ามีความตั้งใจที่จะยกเลิกความยืดเยื้อของการเจรจาลงหรือไม่
· ผู้บริหารระดับอาวุโสประจำสมาคมธุรกิจสหรัฐฯ-จีน มีมุมมองว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องทำข้อตกลงจีน ก็ยังมีโอกาสที่เขาจะสามารถเอาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ได้ โดยตราบใดที่การก่อสงครามการค้ากับจีนยังไม่มีผลกระทบในทางลบโดยตรงกับประชาชนสหรัฐฯ “ธรรมดาๆ” การคงจุดยืนที่แข็งกร้าวกับจีนเอาไว้ก็เพียงพอสำหรับนายทรัมป์แล้ว
อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีตอบโต้กันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงภาษีที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือน ธ.ค. “จะส่งผลกระทบต่อสินค้าผู้บริโภคทุกรายการ”
· ประธานสมาคมหอการค้าสหรัฐฯในประเทศจีน มีความเห็นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจที่จะสามารถสั่งให้บริษัทสหรัฐฯถอนแหล่งผลิตออกจากประเทศจีนได้ แต่การทำเช่นนั้น จะส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากบรรดาผู้นำทางเศรษฐกิจ รวมถึงจากบรรดาส.ส. ภายในสภาคองเกรส ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ต่ำที่นายทรัมป์จะออกคำสั่งเช่นนั้นจริง
· นางแครี ลาม ผู้นำรัฐบาลฮ่องกง กล่าวว่า เธอได้สร้างความวุ่นวายที่ไม่น่าให้อภัยให้กับสถานการณ์ในฮ่องกง และเธอจะลาออกจากตำแหน่งหากเธอสามารถเลือกได้ ถ้อยคำดังกล่าวถูกบันทึกเทปไว้ในการประชุมร่วมกันระหว่างผู้นำฮ่องกงและบรรดาผู้นำธุรกิจเมื่อสัปดาห์ก่อน
สำหรับทางเลือกในการแก้ไขสถานการณ์ของฮ่องกง เธอยอมรับว่ามี “ทางเลือกจำกัด” เนื่องจากรัฐบาลจีนกำลังประสบปัญหาทางการค้าร่วมกับสหรัฐฯ
ล่าสุด ผู้นำฮ่องกงได้ระบุว่า เธอไม่เคยเรียกร้องขอลาออกจากตำแหน่งกับรัฐบาลจีนเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์ความวุ่นวายในฮ่องกงเลย
· พรรคร่วมรัฐบาลอิตาลีระหว่าง 5-Star Movement และ Democratic Party เปิดเผยแผนการดำเนินนโยบายร่วมกัน โดยยังให้ความสำคัญกับการผลักดันร่างงบประมาณปี 2020 เป็นอันดับแรก แต่ได้รับรองว่า ร่างงบประมาณดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการคลังสาธารณะ
· ราคาน้ำมันปรับลดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาด ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่ประกาศออกมาอ่อนแอ จึงสร้างความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบรรดาตลาดเกิดใหม่ ขณะกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกเริ่มทยอยปรับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.5% แถว 54.84 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 6 เซนต์ แถว 58.60 เหรียญ/บาร์เรล