· ค่าเงิน Safe-Haven อย่างดอลลาร์และค่าเงินเยนมีการปรับอ่อนค่าลงวานนี้ ท่ามกลางความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่สถานการณ์ความกังวลทางการเมืองทั่วโลกมีความผ่อนคลายลง และตลาดตอบรับข่าวดีจากทางฮ่องกง, อิตาลี และอังกฤษ
โดยมีรายงานว่า ผู้นำฮ่องกงประกาศจะถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในขณะที่อิตาลีนั้น พรรค 5-Star Movement อนุมัติข้อตกลงการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับทาง DP จึงช่วยปูทางไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ สำหรับอังกฤษนั้น บรรดาส.ส.มีการโหวตค้านการออกจากอียูแบบ No-Deal และทั้งหมดนี้ช่วยคลายความกังวลแก่ตลาด
ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงติตต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยปรับลง 0.55% มาที่ 98.46 จุด รวมทั้งค่าเงินเยนที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ โดยอ่อนค่าขึ้น 0.43% ที่ 106.38 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.4% ที่ระดับ 1.1011 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ นางคริสติน ลาการ์ด ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานอีซีบีคนใหม่ กล่าวถ้อยแถลงในเชิงลดกระแสคาดหวังที่จะเห็นอีซีบีลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยเธอมองว่า การผ่อนคลายทางการเงินระดับสูงเราใช้มานานเกินไป แต่ธนาคารกลางก็อาจจำเป็นต้องหาเครื่องมือเสริมสำหรับนโยบายดอกเบี้ยติดลบด้วย
อย่างไรก็ดี กระแสคาดการณ์ของตลาด เกี่ยวกับการจะเห็นอีซีบีประกาศกลับเข้าซื้อสินทรัพย์และการลดดอกเบี้ยก็ได้ทำให้ค่าเงินยูโรเมื่อวันอังคารดิ่งลงทำต่ำสุดรอบ 28 เดือนบริเวณ 1.0924 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.4% ที่ระดับ 7.1511 หยวน/ดอลลาร์ ในขณะทีค่าเงินปอนด์รีบาวน์กลับมาได้ 1.06% ที่ 1.2111 ดอลลาร์/ปอนด์ จากการที่รัฐสภาอังกฤษสามารถยับยั้งการออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงได้
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีกลับมายืนเหนือพันธบัตรระยะสั้นอายุ 2 ปีได้อีกครั้ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี ถูกกดดันจากการรายงานที่ ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงกล่าวจะถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน จึงทำให้สถานการณ์กับกลุ่มผู้ชุมนุมบรรเทาลงไปบ้าง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทรงตัวบริเวณ 1.456% สำหรับอัตราผลตอบแทนอายุ 30 ปี ทรงตัวที่ 1.958% สำหรับผลตอบแทน 2 ปีร่วงลง 0.03% ที่ระดับ 1.428% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2017
· รายงานล่าสุดเช้านี้จาก CNBC ชี้ว่า สหรัฐฯและจีนตกลงจะทำการพบกันในช่วงต้นเดือนต.ค.เพื่อกลับมาเจรจาทางการค้าอีกครั้ง
· รายงานสภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book ของเฟดยังสะท้อนถึงการขยายตัวได้ระดับปานกลางของเศรษฐกิจสหรัฐฯตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ส.ค. แม้ว่าจะปรากฎความกังวลบางส่วนว่าจะได้รับผลกระทบจาก Trade War แต่ภาคธุรกิจโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงส่งสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มระยะสั้น และภาพรวมค่าแรงก็ยังขยายตัวได้ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบกับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมออกมาดี แต่ในภาคการผลิตนั้นมีสัญญาณสะท้อนถึงภาวะถดถอยบ้างบางส่วน โดยมีความแตกต่างกันในแต่ละเขตรัฐของสหรัฐฯ
· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้า แต่การตัดสินใจชะลอการลงทุนในภาคธุรกิจก็ดูจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลจำกัดด้านการค้าและการเข้าเมือง ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความเป็นไปได้ทีจะส่งผลต่อภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้มีการชะลอตัวมากขึ้น
· นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดควรเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในการประชุมอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าที่ดูจะกลายมาเป็น ผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก อันจะเห็นได้จากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ข้อมูลภาคการผลิตของสหรัฐฯหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกในกรณีที่สหรัฐฯและจีนเดินหน้าขึ้นภีกัน ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดภาวะ “Global Shock” ดังนั้น เฟดควรเดินหน้าลดดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมสัปดาห์หน้าเนื่องจากดอกเบี้ยในกรอบ 2.00 – 2.25% ของเฟดอยู่ในระดับที่สูงเกินไป
· นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวถึงภาวะการชะลอตัวของเงินเฟ้อเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่เฟดให้ความสนใจเนื่องจากเงินเฟ้อระดับต่ำเป็นหนึ่งในปัญญาของยุคนี้ แม้ว่าแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างปานกลาง, คนว่างงานระดับต่ำ แต่เงินเฟ้อก็เป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ภาพรวมของเศรษฐกิจ และสัญญาณว่าเฟดจะใช้นโยบายทางการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งตัวเขาจะเดินหน้าให้การสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวได้อย่างเหมาะสม ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งให้เงินเฟ้อกลับขึ้นสู่ระดับเป้าหมาย 2%
· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในการเรียกเสียงสนับสนุนให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่เมื่อคืนนี้ โดยนายจอห์นสันจำเป็นต้องเรียกสนับสนุนจากรัฐสภาให้ได้อย่างน้อย 2 ใน 3 แต่การลงมติมติเมื่อคืน ผลออกมาพบว่ายังขาดเสียงสนับสนุนอีกถึง 136 เสียง
ทั้งนี้ การดำเนินการต่อไปของนายจอห์นสันอาจยังเป็นการผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่เช่นเดิม แต่จะผลักดันด้วยวิธีการอื่น โดยมีกระแสคาดการณ์บางส่วนมองว่า อาจเกิดการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงยังมีอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
· นางแครี แลม ผู้นำรัฐบาลฮ่องกง ประกาศเมื่อวานนี้ว่า ร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ถูกยกเลิกโดยสมบูรณ์แล้ว โดยการยกเลิกร่างกฏหมายดังกล่าว เป็น 1 ใน 5 ข้อเรียกร้องที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมชาวฮ่องกงได้เรียกร้องกับรัฐบาลไว้ตั้งแต่ในเดือน มี.ค.
ขณะที่ข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อของผู้ชุมนุม มีดังต่อไปนี้
1. ยกเลิกร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่จะทำให้สามารถส่งผู้ร้ายชาวฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ได้
2. เลิกกล่าวหาว่าการชุมนุมเป็น “การก่อจราจล”
3. ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาทุกข้อกับผู้ชุมนุม
4. แต่งตั้งหน่วยงานที่ไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายใด เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของหน่วยงานตำรวจ
5. จัดการเลือกตั้งผู้นำและรัฐบาลใหม่ภายในปี 2020
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงไปกว่า 4% โดยตลาดได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของข้อมูลเชิงบวกจากจีน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงตลอดช่วง 3 วันทำการก่อนหน้าจากความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 4.14% ที่ระดับ 60.66 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 4.3% ที่ระดับ 56.26 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ อัตราการปรับขึ้นรายวันของน้ำมันดิบ WTI ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ 10 ก.ค.
· ข้อมูลภาคบริการจีนขยายตัวเร็วสุดในรอบ 3 เดือน ท่ามกลางยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดย Caixin/Markit รายงานว่า ข้อมูล PMI ภาคบริการของจีน ที่ออกมาดีขึ้นแตะ 52.1 จุด ในเดือนส.ค. ซึ่งถือเป็นระดับการเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่พ.ค. และการยืนเหนือ 50 จุดได้ บ่งชี้ถึงภาวการณ์ขยายตัว
อย่างไรก็ดี ถึงข้อมูลล่าสุดจะออกมาดีขึ้น แต่ภาพรวมของข้อมูลเศรษฐกิจจีนก็ดูจะมีความผันผวนอยู่