• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 6 กันยายน 2562

    6 กันยายน 2562 | Economic News


· ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐฯดูจะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนลดท่าทีกังวลต่อภาวะเศรษฐกิิจโลกที่ไม่สดใส ประกอบกับท่าทีคืบหน้าของการเจรจาการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯและจีนที่จะเกิดขึ้นเดือนหน้า

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 98.387 จุด ในขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1040 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินเยนอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดรอบ 1 เดือนจากแรงขายของนักลงทุนมาที่ระดับ 10.7.22 เยน/ดอลลาร์วานนี้ก่อนจะทรงตัวที่ 106.99 เยน/ดอลลาร์

ด้านค่าเงินปอนด์ถือว่าทำระดับแข็งค่าได้ดีที่สุดนับตั้งแต่พ.ค. โดยปรับแข็งค่าขึ้นได้เกือบ 1.4% เมื่อเทียบดอลลาร์จากการที่บรรดาส.ส. อังกฤษ ตั้งป้อมขวางการออกจากอียูแบบ No-Deal และจะสนับสนุนการเลื่อนระยะเวลาโหวตออกจากอียูเพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อน ซึ่งวันนี้ ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 1.2328 ดอลลาร์/ปอนด์

อย่างไรก็ดี ค่าเงินเริ่มมีท่าทีการซื้อขายอย่างระมัดระวังโดยตลาดรอคอยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯที่ถูกคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นที่ 158,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานยังคาดทรงตัวที่ 3.7%
· ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง หากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯคืนนี้ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 160,000 ตำแหน่งสำหรับเดือน ส.ค. เนื่องจาก การที่ตัวเลขออกมาอ่อนแอ จะยิ่งหนุนโอกาสที่เฟดจะพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินลง จึงอาจทำให้เกิดเข้าถือครองค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่ตลาดเริ่มมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในเดือน ต.ค. มากขึ้น

· เจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก Hoover Institution Stanford University กล่าวว่า ผลจาก Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับสงครามเย็นครั้งที่ 1 และจะเห็นได้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ขณะนี้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถขัดขวางผลกระทบเชิงลบของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนได้ เนื่องจากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศก่อตัวมาอย่างยาวนานซึ่งไม่เพียงแต่ประเด็นทางการค้าเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังไม่คิดว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีอำนาจได้ย่างยาวนานเพื่อสร้างข้อตกลงทางการค้า แต่ดูเหมือนทรัมป์กำลังตั้งใจทำบางอย่างในระหว่างตอนนี้และการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งดูเหมือนนายทรัมป์เองจะมีอำนาจลดลงในการควบคุมสิ่งที่หวังไว้

· อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เตือน การที่ตลาดมองว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถหาข้อตกลงหรือมีความคืบหน้าครั้งสำคัญในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในเดือน ต.ค. นั้น “ค่อนข้างจะมองในแง่ดีเกินไป” เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมาก ขณะที่สภาพแวดล้อมในปัจจุบันก็ไม่ค่อยเอื้อให้เกิดข้อตกลงแต่อย่างใด การที่ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจาเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ไม่ควรคาดหวังว่าจะเกิดข้อตกลงได้ในระยะสั้น

ทั้งนี้ อดีตรัฐมนตรีฯ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯและจีนจะสามารถหาข้อตกลงได้ก่อนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 แต่ข้อตกลงนั้น ต้องเป็นข้อตกลงที่ดีมากๆ เพื่อให้นายทรัมป์สามารถเรียงเสียงสนับสนุนจากประชาชนต่อได้

· ผู้เชี่ยวชาญจาก Center of Strategic and International Studies กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนค่อนข้างมีเสถียรภาพในปัจจุบัน ดังนั้น จีนจึงไม่เร่งรีบในการประนีประนอมกับทางสหรัฐฯเกี่ยวกับสงครามการค้าครั้งนี้

ขณะเดียวกันบรรดานักวิเคราะห์หลายราย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนแม้จะดูดีในขณะนี้ แต่ระยะยาวจีนดูจะสูญเสียเพิ่มมากขึ้นจากผลกระทบทางการค้ามากกว่าสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี จีนก็ดูจะแสดงให้เห็นว่าสามารถยืนหยัดต่อภาวะสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

โดยที่ปรึกษาอาวุโสจาก Freeman Chair กล่าวว่า เศรษบษฐกิจจีนค่อนข้างมีเสถียรภาพจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในที่พวกเขาใช้ และสามารถรับมือกับพายุด้วย แต่จีนก็ยังมีปัญหาบางส่วนไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ ก่อนจะเผชิญกับปัญหา Trade War ที่ดูจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่

· ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯกำลังส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านการผลิตในเศรษฐกิจ

โดยผลสำรวจของ Reuters จากนักวิเคราะห์ 18 ราย คาดการณ์ว่า GDP ของญี่ปุ่นจะขยายตัวที่ 1.3% ต่อปีในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของการใช้จ่ายด้านต้นทุน



· การประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯในคืนนี้ มีแนวโน้มที่จะออกมาชะลอตัวลง แต่ยังมากพอที่จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวในระดับปานกลาง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลก ที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาดการเงินในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในเดือนที่ผ่านมา ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 158,000 ตำแหน่ง หลังจากในเดือน ก.ค. ปรับเพิ่มขึ้นถึง 164,000 ตำแหน่ง แม้ตัวเลขดังกล่าวจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 165,000 ตำแหน่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แต่ยังยืนเหนือระดับ 100,000 ตำแหน่งที่มากพอจะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรวัยทำงานที่เพิ่มมากขึ้น

ด้านอัตราว่างงาน ถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาทรงตัวที่ 3.7% ติดต่อกันเป็นเดือนที 3

· สถาบันจัดอันดับ Fitch Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศฮ่องกงจากระดับ AA+ สู่ระดับ AA ท่ามกลางแนวโน้มที่มีเสถียรภาพเชิงลบมากขึ้น อันเป็ฯผลจากการกู้ยืมภาคบริษัทและรัฐบาล รวมทั้ง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนชาวฮ่องกงกับจีน จนเกิดเป็นภาวะทางการเมืองที่ผ่านมา

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับผลบวกหลายสัปดาห์ ท่ามกลางการลดลงอย่างรวดเร็วของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เบาบางลงไป

หลังจากที่สหรัฐฯและจีนมีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ในช่วงเช้าวานนี้และเห็นพ้องกันที่จะจัดประชุมร่วมกันในการหาทางแก้ไขปัญหาทางการค้าในช่วงต้นเดือนต.ค.นี้ ซึ่งถึงทั้ง 2 ประเทศจะมีการยืนยันการร่วมจัดประชุมกันแต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะมีการประชุมในเดือนต.ค. เมื่อใด

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.3% ที่ะรดับ 61.12 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.3% เช่นเดียวกันที่ระดับ 56.46 เหรียญ/บาร์เรล

สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ด้านน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com