· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร แต่ก็ยังเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวในกรอบก่อนทราบผลประชุมอีซีบีในวันพรุ่งนี้ที่ถูกคาดว่าจะเห็นอีซีบีปรับลดดอกเบี้ยสู่อัตราเชิงลบมากขึ้นรวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะเห็นอีซีบีเดินหน้าเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่ม
กลุ่มนักลงทุนกำลังรอว่าจะมีการประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนตัวในเวลานี้หรือไม่ หรืออีซีบีจะมาสร้างความน่าผิดหวังต่อตลาด ดังนั้น นักลงทุนจึงมองว่าอีซีบีก็เป็นหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ เพราะหากอีซีบีเปลี่ยนท่าทางในเชิงคุมเข้มหรือผ่อนคลายน้อยกว่าที่คาดก็อาจสร้างความผิดหวังให้แก่ตลาดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าววงในประมาณ 5 ราย เผยว่า อีซีบีจะเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยในระดับต่ำหรือระดับติดลบมากขึ้น และสมาชิกหลายๆรายก็ดูมีท่าทีจะกลับมาใช้นโยบายเข้าซื้อสินทรัพย์มากขึ้น แต่ก็ยังมีความคิดเห็นของสมาชิกบางส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง
ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.04% ที่ 1.1041 ดอลลาร์/ยูโร และยังมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆระหว่าง 1.1014 – 1.1084 ดอลลาร์/ยูโรในช่วง 4 วันทำการนรี้
ภาพรวมค่าเงินยูโรได้รับแรงหนุนชั่วคราว หลังจากที่สำนักข่าวรอยเตอร์สมีรายงานว่าทางเยอรมนีกำลังพิจารณาที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสนับสนุนภาคการลงทุนสาธารณะท่ามกลางข้อจำกัดของกฎหมายหนี้ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเยอรมนี เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะอัดฉีดเม็ดเงินจากวิกฤตทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านยูโร ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าอาจเห็นการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ๋หากเศรษฐกิจเยอรมนีเข้าสู่ภาวะถดถอย
ค่าเงินเยนอ่อนค่าทำต่ำสุดนับตั้งแต่ 2 ส.ค.เมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์ หลังสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า บีโอเจมีการเปิดกว้างมากขึ้นต่อความเป็นไปได้ที่จะขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุม 18-19 ก.ย.นี้ ท่ามกลางปัญหาของสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน
นอกจากนี้ ความต้องการค่าเงินในสินทรัพย์ปลอดภัยดูลดน้อยลงไป นับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้วที่ทางการสหรัฐฯและจีนเห็นพ้องกันที่จะนัดเจรจาระดับสูงในช่วงต้นเดือนต.ค.
· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า กลุ่มนักลงทุนให้ความสำคัญกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันได้แก่ ข้อมูลเงินเฟ้อกลุ่มผู้บริโภคในวันพฤหัสบดีนี้ และวันศุกร์นี้เป็นข้อมูลยอดค้าปลีก หลังจากที่ทราบรายงานจ้างงานสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาดในเดือนส.ค. ประกอบกับตลาดคาดจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยในที่ประชุม 17-18 ก.ย.นี้
· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก CLSA คาดว่า จีนจะมีการกำหนดค่าเงินหยวนในทิศทางอ่อนค่าต่อเมื่อเทียบดอลลาร์จากปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึ้นของสหรัฐฯและจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดว่ามีโอกาสเห็นเงินหยวนพุ่งแตะ 7.3 หยวน/ดอลลาร์ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากที่วันอังคารเงินหยวนถูกกำหนดค่ากลางที่ 7.1144 หยวน/ดอลลาร์
นอกจากนี้ การปรับอ่อนค่าเงินหยวนค่อนข้างแน่ชัดว่าเป็นวิธีที่จีนจะมาช่วยชดเชยผลกระทบจากการถูกขึ้นภาษีทางการค้า แต่การอ่อนค่าของเงินหยวนก็อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯที่เพิ่มมากขึ้นได้
· รายงานจากดัชนีราคาผู้ผลิตจีน (PPI) ปรับตัวลงในเดือนที่แล้ว และถือเป็นการอ่อนตัวลงในรอบ 3 ปี จึงสะท้อนถึงการที่จีนกำลังได้รับผลกระทบจาก Trade War ครั้งนี้
อย่างไรก็ดี รายงานจาก South China Morning Post เผยว่า จีนถูกคาดจะเข้าซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯเพิ่มเพื่อให้ข้อตกลงการค้าเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศปลดนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ อิหร่าน อัฟกานิสถาน และรัสเซีย
แหล่งข่าววงในของสำนักข่าว Reuters ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้นายทรัมป์ตัดสินใจไล่นายโบลตันออก มาจากการที่นายโบลตัน แลยนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่างไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายทรัมป์ที่พยายามเจรจากับผู้นำกลุ่มตาลีบัน นายโบลตันจึงพยายามขอความร่วมมือกับนายเพนซ์ เพื่อส่งข้อความแสดงความไม่เห็นด้วยให้กับนายทรัมป์
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุระเบิดพลีชีพขึ้นในเมืองคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ทหารอเมริกัน 1 นายเสียชีวิตพร้อมพลเมืองนับสิบ นายทรัมป์จึงตัดสินใจยกเลิกแผนการเจรจากับผู้นำตาลีบัน
นายโบลตันเชื่อว่า สหรัฐฯสามารถถอนกำลังพลออกจากพื้นที่อัฟกานิสถานได้มากถึง 5,000 นาย จากทั้งหมด 14,000 นาย และยังสามารถรักษาแรงกดดันทางการทหารเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม โดยไม่จำเป็นต้องเจรจากับหัวหน้าของผู้ก่อการร้าย
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศปลดนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ โดยน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 45 เซนต์ หรือ -0.8% ที่ระดับ 57.4 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 34 เซนต์ หรือ -0.5% ที่ระดับ 62.25 เหรียญ/บาร์เรล
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เผยว่า เขาไม่เห็นด้วยอย่างมากต่อคำแนะนำของนายโบลตัน และได้บอกแก่นายโบลตันไปแล้วว่าเขาไม่มีความจำเป็นสำหรับทำเนียบขาวอีกต่อไป ซึ่งนายโบลตันก็ได้ทำการลาออกแล้วในช่วงเช้าวานนี้
นักวิเคราะห์จาก Again Capital ระบุกับทาง CNBC ว่า การลาออกของนายโบลตันได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากดูจะส่งผลให้นายทรัมป์มีแนวโน้มลดลงที่จะโจมตีอิหร่าน และจะช่วยคลายความตึงเครียดในตะวันออกกลาง จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง
• ราคาน้ำมันปรับลดลง หลังตอบรับข่าวการออกจากตำแหน่งของนายโบลตัน โดยตลาดมีมุมมองว่า สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านมีความเป็นไปได้ต่ำลงที่ความขัดแย้งจะขยายตัวกลายเป็นการใช้กำลังทางทหาร เนื่องจากนายโบลตันที่ปรึกษาที่มีแนวคิดค่อนข้างสุดโต่งในการใช้กำลังการทหารเพื่อกดดันผู้เป็นปรปักษ์ต่อสหรัฐฯ
รายงานจาก NBC News ระบุว่า การออกจากตำแหน่งของนายโบลตันเป็นการตัดสินใจของตัวเขาเอง และนายทรัมป์ไม่ได้เรียกร้องให้ออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ขณะที่รายงานจากทางทำเนียบขาวระบุว่า มีเหตุผลหลายประการอยู่เบื้องหลังการออกจากตำแหน่งของนายโบลตัน แต่ความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเจรจากับผู้นำกลุ่มตาลีบันไม่ได้เป็นหนึ่งในสาเหตุดังกล่าว
• เกาหลีเหนือน่าจะเป็นอีกหนึ่งในผู้ที่ไม่ได้เศร้าโศกกับการออกจากตำแหน่งของนายโบลตัน โดยทางเกาหลีเหนือมีการต่อว่านายโบลตันว่าเป็น “พวกเสพติดสงคราม” หรือ “ขยะมนุษย์” จากความพยายามล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า การออกจากตำแหน่งของนายโบลตัน จะช่วยให้การกลับมาเจรจาระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือเพื่อระงับโครงการนิวเคลียร์ เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
· การตอบรับข่าวดังกล่าวของบรรดาเจ้าหน้าระดับสูงทั้งในสหรัฐฯและต่างประเทศเบื้องต้น มีดังต่อไปนี้:
โฆษกประจำรัฐบาลอิหร่าน ทวีตข้อความว่า นายจอห์น โบลตัน เคยข่มขู่ไว้เมื่อหลายเดือนก่อนว่า ระบบการปกครองของอิหร่านจะล้มเหลวภายใน 3 เดือนข้างหน้า แต่ตอนนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่ต้องไป ขณะที่พวกเรายังคงยืนอยู่ การตัดสินใจไล่ผู้ที่สนับสนุนสงครามและการก่อการร้ายออกไป จะช่วยให้ทำเนียบขาวเห็นถึงความเป็นจริงของอิหร่านได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประธานคณะกรรมการด้านกิจกรรมระหว่างประเทศประจำทำเนียบขาว ตัวแทนพรรคเดโมแครตแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า การสั่งปลดที่ปรึกษาด้านความมั่นคงระหว่างประเทศออกไป เป็นอีก 1 สัญญาณเตือนว่า ความเป็นผู้นำของสหรัฐฯที่ทั่วโลกต้องการ กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย และทำให้ความปลอดภัยของสหรัฐฯถูกบั่นทอนลง
ผู้บริหารอาวุโสประจำสถาบัน Center for the National Interest ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือ มีความเห็นว่า สำหรับผู้ที่ต้องการให้สหรัฐฯกลับมามีความสุขุมและมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น การปลดนายโบลตันออกควรเกิดขึ้นไปตั้งนานแล้ว และถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดสำหรับนายทรัมป์ จากนี้ไปนายทรัมป์ต้องหาที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนใหม่ คนที่ไม่สนับสนุนสงคราม ซึ่งพวกเขาได้บทเรียนจากการดำเนินนโยบายในตะวันออกกลาง เกาหลีเหนือ รวมถึงความขัดแย้งกับประเทศจีนไปแล้ว