หุ้นฮ่องกงร่วงลง 1% ขณะที่โซลเพิ่มขึ้น ด้านเซี่ยงไฮ้และซิดนีย์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยวันนี้ตลาดญี่ปุ่นปิดทำการในวันหยุดเนื่องในวันผู้สูงอายุ
ท่ามกลางความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ - จีนได้ผ่อนคลายลง หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจาวางแผนในเดือนหน้า จากความขัดแย้งด้านการค้าและเทคโนโลยี
· ตลาดหุ้นจีนเริ่มต้นในสัปดาห์ด้วยการปรับลดลง แต่ปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด เนื่องจากการผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่เบาบาง ช่วยเพิ่มความหวังที่ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
โดยอัตราการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศจีนในเดือน ส.ค. ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปีครึ่ง ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าร่วมกับสหรัฐฯ และปริมาณอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง โดยอัตราการผลิตชะลอตัวลงสู่ระดับ4.4% เทียบกับในเดือน ก.ค. ที่ขยายตัวได้ 4.8%
ขณะที่เหล่านักวิเคราะห์คาดว่า ข้อมูลล่าสุดจะนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากทางการจีน
ทั้งนี้ดัชนี Shanghai Composite ทรงตัวที่บริเวณ 3,030.75 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดในแดนลบ หลังจากที่ปรับสูงขึ้นติดต่อกันได้ 4 ช่วงตลาด ท่ามกลางแรงกดดันจากเหตุโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของซาอุดิอาระเบียเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอในวันนี้ จึงกดดันปริมาณความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนี STOXX 600 เปิด -0.5%
สำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศอาจจะขยับขึ้นได้ราว 2 บาท/ลิตร ในช่วง 2-3 วันนี้ หลังเกิดเหตุการโจมตีของโดรนที่โรงงาน 2 แห่งของบริษัทซาอุดี อารามโค ที่แหล่งผลิตน้ำมันAbqaiq และ Khurais ในซาอุดีอาระเบียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ให้กำลังการผลิตหดหายไปราว 5% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกนั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวขึ้นแรง และจะสะท้อนต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ในวันนี้ให้ปรับขึ้นราว 7-10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือราว 10-15% ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับขึ้นได้ราว 2 บาท/ลิตร หากรัฐบาลไม่มีการแทรกแซงราคา
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลจะเข้ามาดูแลราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ เพราะตามพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ระบุไว้ชัดเจนว่ากรณีเกิดเหตุวิกฤต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถเข้าไปช่วยเหลือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนได้
- ปลัดกระทรวงการคลังเรียกถก 3 กรมภาษี ดูรายละเอียดการจัดเก็บในปัจจุบันให้ทันสมัย ยอมรับลดภาษีบุคคล 10% ตามที่พรรครัฐบาล
หาเสียงทำไม่ทันปีนี้ เพราะต้องศึกษาละเอียด ชี้หากลดจริงต้องหาภาษีตัวอื่นชดเชย คนที่ไม่เคยเสียอาจต้องเสีย หรือ หักลดหย่อนได้น้อยลง
- น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้พยายามยืนในแดนบวก รับอานิสงส์จากหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่มาช่วยประคอง หลังจากราคาน้ำมันพุ่งแรง แต่ตลาดฯก็ยังกังวลผลกระทบที่อาจมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงก็ดูจะเรื้อรัง และรุนแรง ทำให้มี Profit taking ออกมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
หนังสือพิมพ์แนวหน้า
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สอท. มีความกังวลหลายปัจจัยที่มีแนวโน้มจะส่ง ผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยทั้งระยะสั้นและ ระยะยาว โดยเฉพาะภาวะค่าเงินบาทที่ยังคงมีทิศทางแข็งค่ามากสุดในภูมิภาค และยังคงต้องติดตาม การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) 17-18 กันยายน 2562 หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงก็จะกดดันให้เงินบาทของไทยยังคง แข็งค่าได้อีก
"เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นจากต้นปีเฉลี่ย 6% โดยเมื่อ 12 กันยายน บาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี อยู่ที่ 30.39 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แม้ต่อมาจะอ่อนค่าลง เล็กน้อยแต่บาทไทยก็ยังคงแข็งค่ากว่าภูมิภาคทั้งเวียดนาม เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฯลฯ ซึ่งยังคง คาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะดูแลใกล้ชิดเพื่อไม่ให้บาทไทยแข็งค่าเกินไปเพราะจะบั่นทอนขีดความสามารถการส่งออกให้ลดต่ำลง"
อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการ สบน.เตรียมแผนการหาเงินกู้ 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมให้หาแหล่งเงินกู้สำรองในประเทศเป็นหลัก เพื่อลดความผันผวน
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. ว่า ได้มอบนโยบายให้แก่ สบน. 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1. แผนการกู้เงินในระยะ 5 ปีข้างหน้าที่ถือเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและเศรษฐกิจ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท ดังนั้น สบน. มีบทบาทสำคัญในการช่วยจัดหาแหล่งเงินกู้ให้หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ เฉลี่ยปีละ 1.5-2 แสนล้านบาท โดยต้องบริหารไม่ให้เกิดการสะดุดเพื่อไม่ให้กระทบแผนในการปรับเปลี่ยนประเทศ