· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดผสมผสานกันท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของหุ้นบริษัท Microsoft ที่มาชดเชยกับการปรับตัวลงของหุ้นบริษัท Apple โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 0.19% ที่ระดับ 27,094.79 จุด ขณะที่ Nasdaq ปิด +0.07% ที่ระดับ 8,182.88 จุด ทางด้านดัชนี S&P500 ทรงตัวที่ระดับ 3,006.79 จุด
หลังจากที่เฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด 0.25% ในการประชุมวันพุธที่ผ่านมา ล่าสุด FedWatch ของ CME Group ก็สะท้อนมุมมองว่า บรรดาเทรดเดอร์ก็มองว่าจะเห็นโอกาส 50% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค.
ขณะเดียวกันเฟดมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระดับภาคธนาคารจำนวน 7.5 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อเสริมสภาพคล่องตลาดการเงินและสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืน ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวถือเป็นการดำเนินการครั้งแรกของเฟดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงิน
นักวิเคราะห์บางราย มองว่า การพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนมีสาเหตุจากการที่สภาพคล่องในตลาดมีความตึงตัว เนื่องจากภาคธุรกิจจำเป็นต้องสำรองเงินสดสำหรับการชำระภาษีในไตรมาสที่ 3
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น โดยเช้านี้ดัชนี Nikkei เพิ่มสูงขึ้น 0.23% ด้านดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.18%
ขณะที่เหล่านักลงทุนจะจับตาดูการพัฒนาในแนวการค้าของสหรัฐฯ-จีน หลังระดับรองรัฐมนตรีตัวแทนจากสหรัฐฯและจีนจะเจรจาร่วมกันโดยตรงครั้งแรกในรอบ 2 เดือน นับตั้งแต่ที่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลง โดยเป้าหมาย คือการวางรากฐานสำหรับการเจรจาในระดับสูงที่จะตามมาในช่วงต้นเดือน ต.ค. ซึ่งอาจตัดสินได้ว่าทั้งสองประเทศจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกัน หรือจะเดินหน้าขึ้นภาษีตอบโต้กันต่อ โดยหนังสือพิมพ์ South China Morning Post รายงานว่า นายไมเคิล พิลส์เบอรี ที่ปรึกษาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตือนว่าสหรัฐฯพร้อมที่จะขยายสงครามการค้าหากข้อตกลงไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 30.50-30.58 บาท/ดอลลาร์ โดยมีแรงเทขายค่าเงินดอลลาร์ออกมาหลังนักลงทุนมองโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในอนาคตมีความเป็นไปได้ แต่แรงเทขายยังค่อนข้างจำกัด ขณะที่บ้านเราก็มีเงินทุนไหลออกย่อยข่าวผลประชุมเฟด
อย่างไรก็ตาม วันนี้จะมีการประกาศตัวเลขส่งออก-นำเข้าของไทย ซึ่งน่าจะมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 ก.ย.นี้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นอังกฤษ หลังมีข่าวว่าจะเดินหน้าแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ปัจจัยน้ำมัน และการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน