· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.4% หลุดระดับสำคัญที่ 1.10 ดอลลาร์/ยูโร ทำระดับต่ำสุดที่ 1.0972 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 12 ก.ย. หลังการประกาศตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีออกมาอ่อนแอสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง จึงยิ่งตอกย้ำถึงทิศทางที่เศรษฐกิจเยอรมนีกำลังชะลอตัวลง
ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่า 0.3% แถว 98.776 จุด
ขณะที่ตลาดค่าเงินอื่นๆยังค่อนข้างเงียบเหงา แม้จะมีสัญญาณของภาวะ Risk-on กลับมาบ้างและกดดันค่าเงินเยนอ่อนค่าลงก็ตาม โดยตลาดยังมีความระมัดระวังต่อการลงทุน และจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างว่า “มีความคืบหน้า”
โดยค่าเงินเยนอ่อนค่า 0.2% แถว 107.75 เยน/ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินหยวนนอกประเทศแข็งค่า 0.1% แถว 7.112 หยวน/ดอลลาร์ และค่าเงินปอนด์อ่อนค่าเล็กน้อยแถว 1.2459 ดอลลาร์/ปอนด์
· ในขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังดำเนินนโยบายกดดันการดำเนินธุรกิจของประเทศจีน กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ให้ระวังการโจรกรรมทางข้อมูล และเร่งเสริมการป้องกันเป็นการด่วน
โดยนายอดีม ฮิคกี รองผู้ช่วยอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ทางกระทรวงกำลังเปิดรับรายงานที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมทางข้อมูล และหลักฐานส่วนใหญ่บ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของประเทศจีน
นับตั้งแต่ปี 2012 มากกว่า 80% ของคดีโจรกรรมทางข้อมูลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯและทางกระทรวงรับทราบต่างบ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของประเทศจีน และความถี่ของการก่อคดีกำลังเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
· ผู้ก่อตั้งและ CEO ของสถาบัน Citic Capital เตือน หากฮ่องกงสูญเสียชื่อเสียงในฐานะ “ศูนย์กลางทางเงิน” แห่งทวีปเอเชีย นั่นอาจกลายเป็นหายนะสำหรับตลาดเอเชีย เนื่องจากจุดแข็งของเศรษฐกิจฮ่องกงมีเพียงแค่อุตสาหกรรมทางการเงินเท่านั้นที่พวกเขาสามารถแข่งขันกับชาติอื่นๆได้
ส่วนในกรณีที่ฮ่องกงเกิดสูยเสียความน่าเชื่อถือเข้าจริงๆ นักลงทุนสามารถหันเข้าหาประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ โตเกียว และเซี่ยงไฮ้ เพื่อที่จะได้สามารถเข้าถึงตลาดการเงินโลกได้
· หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบัน Gluskin Sheff มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ไม่ว่าเฟดจะมีการปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ก็ตาม
ส่วนสาเหตุที่ตลาดยังมีมุมมองที่ดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบัน นั่นก็เป็นเพราะการปรับลดดอกเบี้ยและการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด แต่การที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตอนนี้เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น และน่าจะเห็นผลได้ชัดยิ่งขึ้นในช่วงเดือน ต.ค. ถึง ธ.ค. และตลอดปี 2020 ไม่เกี่ยวว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0% หรือไม่ แต่ผลสุดท้ายก็คือ เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอน
· นายโตชิมิทสุ โมเตกิ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับ NHK ก่อนการประชุมกับสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ โดยมีเนื้อหาว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯจะเป็นการนำพาสันติสุขให้แก่เกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์
ทั้งนี้ นายโมเตกิจะเจรจาร่วมกับ นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนเจรจาการค้าจากสหรัฐฯ และถูกคาดว่าต่อจากนี้จะมีการเจรจาระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นตามมา
· ผลสำรวจ Think Tank จากสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ทางการจีนจำเป็นต้องพัฒนาระบบภาคธุรกิจการเงินรายย่อยให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเป็นปัจจัยขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเศรษฐกิจ แต่การชะลอตัวในกลุ่มกองทุน ณ ปัจจุบันก็จำเป็นต้องเติบโตให้ได้ดีกว่านี้ด้วย
· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตือน อย่าคาดหวังว่าจะเห็นความคืบหน้าของการเจรจา Brexit ระหว่างการประชุมของ U.N. ณ กรุงนิวยอร์กของสหรัฐฯภายในสัปดาห์นี้ แต่เน้นย้ำว่า การเจรจาครั้งที่ผ่านๆมามีความคืบหน้าที่ดีมาก
โดยนายจอห์นสันจะพบกับบรรดาผู้นำประเทศในกลุ่ม U.N. และรวมถึงผู้นำประเทศภายในอียูภายในสัปดาห์นี้ โดยจะรวมถึงนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และนายลีโอ วาราดคาร์ นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์
· นายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าฝ่ายค้ายในรัฐอังกฤษ ระบุว่า หากอังกฤษจะมีการลงประชามติ Brexit เป็นครั้งที่สอง พรรคของเขาจะช่วยกันผลักดันให้มีตัวเลือกของ “การคงอยู่ในอียู” และ “การมีข้อตกลงที่ยอดเยี่ยม”
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% จากความไม่มั่นใจในสถานการณ์การผลิตของซาอุดิอาระเบีย ท่ามกลางสถานการณ์น้ำมันดิบโลกค่อนข้างอยู่ในภาวะตึงเครียด จากกรณีโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกและบ่อน้ำมันสำคัญของซาอุดีอาระเบีย ถูกโดรนโจมตี ในช่วงเช้าของวันเสาร์ (14 ก.ย.)
โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้นที่ระดับ 65.50 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่่ย้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.1% ที่ระดับ 58.73 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากในช่วงต้นปรับขึ้นไปที่บริเวณ 59.39 เหรียญ/บาร์เรล
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบมีการอ่อนตัวลงมาแถวระดับแนวรับ 58.76 - 58.03 เหรียญ/บาร์เรล และหากปิดต่ำกว่าระดับแนวรับดังกล่าวลงมา มีโอกาสเห็ฯราคาทองคำกลับลงมาที่ 54.71 เหรียญ/่บาร์เรลได้ ในทางกลับกัน หากราคายืนเหนือ 60.84 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็มีโอกาสกลับขึ้นทดสอบสูงสุดเดิมที่ทำไว้ในเดือนเม.ย. บริเวณ 66.6 เหรียญ/บาร์เรล