· ตลาดหุ้นเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่ทางวุฒิสภาจะยังสนับสนุนให้เขาพ้นผิด แม้ทางสภาผู้แทนราษฎรจะกล่าวหาเขาก็ตาม ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนกลับมาคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวอีกครั้ง หากผ่านพ้นการไต่สวนไป
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan เตือน ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในกระบวนการไต่สวน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในกระบวนการไต่สวน
· ดัชนี S&P500 กลับมาปิดระดับวันที่ดีที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ จากการที่กลุ่มนักลงทุนคลายความกังวลต่อกรณีการไต่สวนของนายทรัมป์ ขณะที่หุ้นบริษัท Nike ปิดปรับขึ้นตอบรับผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีขึ้นกว่าที่ตลาดคาด
ดัชนีดาวโจนส์ปิด +162.94 จุด หรือ +0.61% ที่ระดับ 26,970.71 จุด ขณะที่ S&P500 ปิด +0.62% ที่ระดับ 2,984.87 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +1.05% ที่ระดับ 8,077.38 จุด
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันในเช้านี้ ท่ามกลางความคาดหวังว่าข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนอาจเกิดขึ้นได้ในเร็วๆนี้ โดยดัชนิกเกอิเปิดในตลาดชิคาโกที่ 21,970 จุด และตลาดโอซาก้าเปิดที่ 21,900 จุด ในส่วนของตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 30.50-30.60 บาท/ดอลลาร์
- คณะกรรมการนโยบายการเงินไทย (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งการตัดสินนโยบายในครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 62 มีแนวโน้มขยายตัว 2.8% ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ที่ 3.3% จากการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวกว่าคาด ซึ่งส่งผลไปสู่อุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย เสถียรภาพระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
- ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารเตรียมปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 62 ลดลงมาที่ 2.7-2.9% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3.1% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังมีความยืดเยื้อ กดดันภาคการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวอย่างมาก โดยการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีติดลบไปแล้วถึง 2% ธนาคารจึงปรับลดมุมมองการส่งออกของไทยในปีนี้จะหดตัว จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัว หรือมีอัตราเติบโตเป็น 0%
ในปีนี้ธนาคารฯ คาดว่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่
ระดับ 30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะไม่แข็งค่าไปมากกว่า 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่
าต่อเนื่อง โดยธนาคารมองว่าการใช้
นโยบายทางการเงินในการเข้ามาช่
วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในปั
จจุบันเริ่มมีข้อจำกัดและเริ่
มใช้ไม่ได้ผล เห็นได้จากการลดอัตราดอกเบี้
ยนโยบายของ กนง. ในการประชุมเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทก็ปรับอ่อนค่าได้เพียงช่
วงหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลับมาแข็งค่
าเหมือนเดิม