· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น และสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมุมมองเชิงบวกสำหรั
บการแก้ปัญหาสงครามการค้าระหว่
างสหรัฐฯและจีนที่จางหายไปอย่
างรวดเร็ว
ด้านดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.1%
โดยตลาดหุ้นเอเชียเริ่มกลับมาสดใสหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงที่จะยุติความยืดเยื้อของสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนในรอบกว่า 15 เดือนอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้ ซึ่งจีนกำลังมีการเพิ่มกำลังการเข้าซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯครั้งใหญ่ อันรวมไปถึงเนื้อวัวและเนื้อหมูด้วย
อย่างไรก็ดี มุมมองในเชิงบวกเริ่มจางลงและหุ้นจีนร่วงลง 0.35% เนื่องจากนายทรัมป์มีข้อความซ้ำ ๆ เกี่ยวกับการเจรจาการค้าส่งผลให้นักลงทุนลดความสนใจลง ขณะที่ราคาตั๋วเงินคลังและทองคำปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนบางส่วนต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้
นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่
ผ่านมา เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้
ความสนใจไปยังถ้อยแถลงเมื่
อวานนี้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงที่จะยุติความยืดเยื้
อของสงครามการค้าสหรัฐฯและจี
นในรอบกว่า 15 เดือนอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่
หลายฝ่ายคาดหวังไว้
โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ระดับ 22,048.24 จุด ขณะที่ดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 1.0% ที่ระดับ 1,635.88 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรายวันนับตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นจีนปิดแดนลบท่ามกลางสัญญาณผสมผสานจากการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่งาสหรัฐฯ-จีน ทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่ใจว่าจะมีความคืบหน้าในการเจรจาระดับสูงที่จะจัดขึ้นช่วงต้นเดือน ต.ค. หรือไม่
โดยดัชนี blue-chip CSI300 ปิด -0.8% ที่ระดับ 3,841.14 จุด ขณะที่ดัชนีShanghai Composite ปิด -0.9% ที่ระดับ 2,929.09 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้นเล็
กน้อย ท่ามกลางความหวังที่ว่าสหรั
ฐฯและจีนอาจจะสามารถแก้ไขปั
ญหาการค้าที่ยืดเยื้อได้
โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.4% ด้านหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 1% ขณะที่หุ้นภาคธนาคารลดลง 0.4% ท่ามกลางตลาดหุ้นภูมิภาคที่เคลื่อนไหวในแดนบวก
ทั้งนี้ เหล่าเทรดเดอร์ให้ความสนใจไปยังถ้อยแถลงของนายทรัมป์ ที่กล่าวว่า ข้อตกลงที่จะยุติความยืดเยื้อของสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนในรอบกว่า 15 เดือนอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่ามาตรการชิมช็อปใช้ อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีได้มากนักว่า มาตรการดังกล่าวยังเพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นต้องรอประเมินผลที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก่อนว่าจะออกมาอย่างไร ทั้งนี้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้มีปัญหา ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศและหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังเร่งดำเนินการแก้ไข
อย่างไรก็ดี รมว.คลัง มองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องออกชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยขณะนี้ กระทรวงการคลังได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมทุกสัปดาห์ ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ จึงจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม