· ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า หากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯคืนนี้ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด ขณะที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากกระแสคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยจะลดน้อยลง โดยตัวเลขที่ตลาดจะให้ความสนใจเป็นหลัก คือ Core PCE Price Index m/m ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดใช้วิเคราะห์ทิศทางของเศรษฐกิจเป็นหลัก
ขณะที่ทางสถาบัน RAND Corporation มีมุมมองว่า เนื่องจากบรรดาประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ มักจะมีการจำกัดการนำเข้าอาวุธที่ค่อนข้างหละหลวม จึงช่วยสนับสนุนให้จีนกลายเป็นผู้ส่งอาวุธรายใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกยุทธศาสตร์ Belt and Road ยกตัวอย่างเช่น ปากีสถาน (6.57 พันล้านยูนิต) บังคลาเทศ (1.99 พันล้านยูนิต) และพม่า (1.28 พันล้านยูนิต)
· รัฐบาลญี่ปุ่นมีการจัดดับภัยคุกคามของประเทศขึ้นใหม่ หลังการประชุมด้านการป้องกันประเทศประจำปีเมื่อวานนี้ โดยปรับอันดับให้ประเทศจีนที่มีกำลังทางทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นมาเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 ของญี่ปุ่น แทนที่เกาหลีเหนือที่อาจมีการพัฒนาขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์
· แคนาดาจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในวันที่ 21 ต.ค. ขณะที่โพลเลือกตั้งล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพรรค Conservative ของนายแอนดรูว์ เชียร์ เริ่มมีคะแนนนำนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การเมืองและวัฒนธรรมเอเชีย University of Toronto มีมุมมองว่า ไม่ว่าจะฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง แคนาดาก็จะมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากประชาชนแคนาดาเริ่มมีมุมมองที่ไม่ค่อยดีต่อประเทศจีนมากขึ้น
· ท่ามกลางภาวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะย่ำแย่ลงจากสงครามการค้า ทางรัสเซียดูเหมือนกำลังพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับจีนทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และทางทหาร อีกทั้งนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ยังเรียกนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีจีน ว่าเป็น “เพื่อนสนิท” ของเขาอีกด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวทั้งในประเทศจีนและรัสเซีย ต่างมีรายงานว่ารัฐบาลของแต่ละฝ่ายต้องการที่จะขยายการค้าร่วมกันให้เป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 5 ปี โดยตั้งเป้าหมายดุลการค้าไว้ที่ 2 แสนล้านเหรียญภายในปี 2024 จากดุลการค้าในปี 2018 ที่ 1.07 แสนล้านเหรียญ และจะพัฒนาความร่วมมือทางด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการเกษตรอีกด้วย
· ตัวแทนพรรคเดโมแครตแห่งสหรัฐฯ พยายามเรียกร้องให้ผู้ใดก็ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำยูเครน รายงานข้อมูลดังกล่าวให้กับรัฐสภา เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการไต่สวน
· สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ระบุว่า กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนประจำเดือนส.ค.หดตัวลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสวนทางกับเดือนก.ค.ที่มีการขยายตัว 2.6%
ขณะที่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปรับตัวลง 1.7% สู่ระดับ 4.02 ล้านล้านหยวน (5.6728 แสนล้านเหรียญ) ซึ่งปรับตัวลงในอัตราเดียวกันกับในช่วง 7 เดือนแรก
ทั้งนี้ กำไรบริษัทอุตสาหกรรมของรัฐบาล ปรับตัวลง 8.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.21 ล้านล้านหยวน ขณะที่กำไรของบริษัทในภาคเอกชน เพิ่มขึ้น 6.5% สู่ระดับ 1.13 ล้านล้านหยวน ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้
· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ประกอบกับการฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดของปริมาณกาผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย จึงผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานลงไป
สำนักงานพลังงานนานาชาติ (International Energy Agency) ส่งสัญญาณอาจปรับลดคาดการณ์ปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันสำหรับปี 2019 และ 2020 หากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มอ่อนแอลง
ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.9% แถว 62.19 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.5% แถว 56.11 เหรียญ/บาร์เรล