• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2562

    2 ตุลาคม 2562 | SET News
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า เดือนต.ค. มักเป็นเดือนแห่งความผันผวนของตลาดการลงทุนในหุ้นแต่ละปี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหุ้น, พันธบัตร หรือแม้แต่ดอลลาร์ที่ร่วงลงเมื่อคืนนี้จากข้อมูลภาคการผลิตที่ออกมาแย่กว่าที่คาดได้จุดประกายความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ก็เชื่อว่าหุ้นจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งจากความหวังในการเจรจาสหรัฐฯ-จีนสัปดาห์หน้า ที่อาจนำมาซึ่งความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าได้

· ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ท่ามกลางแรงกดดันหลังการประกาศตัวเลขภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ จึงยิ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่รวมตลาดหุ้นทั่วโลกกว่า 49 ตลาด ปรับลดลง 0.06% ทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ต่อเนื่องจากช่วงตลาดเมื่อวานนี้ที่ปรับลดลง 0.83% ขณะที่ดัชนี MSCI ที่รวมตลาดหุ้นในเอเชีย ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับลดลง 0.6%

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดแดนลบ ท่ามกลางแรงกดดันจากตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐฯที่ออกมาลดลงมากที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ จึงยิ่งตอกย้ำการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เกิดจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei ปิด -0.49% ที่ระดับ 21,778.61 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง หลังจากข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯออกมาอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ

โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.7% ด้านหุ้นทรัพยากรลดลง 1.6% ท่ามกลางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลือ่นไหวในแดนลบ ขณะที่หุ้นท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 0.7%

ทั้งนี้ นายบอริส จอห์สัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะทำการเปิดเผย Final Brexit ที่เป็นข้อเสนอต่อทางอียูในวันนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนว่าหากอียูเห็นด้วยกับข้อตกลงดังกล่าว ทางอังกฤษจะเจรจาต่อเพื่อออกจากอียูในวันที่ 31 ต.ค.นี้หรือไม่

· จากผลสำรวจโดย Refinitiv บรรดาบริษัทในยุโรปถูกคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการรายไตรมาสที่ย่ำแย่ลงเป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2018 จึงอาจยิ่งกดดันความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรป

โดยบรรดาบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ถูกคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการลดลงเฉลี่ย -2.2% ในไตรมาสที่ 3/2019 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ -1.9% และเป็นการปรับลดลงรายไตรมาสที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2016


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แถลงว่า ที่ประชุมกกร. ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปี 62 มาที่ 2.7-3.0% จากเดิมคาด 2.9-3.3% พร้อมปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือ -2.0% ถึง 0.0% จากเดิมคาด -1.0% ถึง 1.0% ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อ, ประเด็น Brexit และทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า

- นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีไทย (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยถึงมาตรการ "100 เดียวเที่ยวทั่วไทย" จะเป็นการดึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาร่วมจัดแพ็กเกจราคาพิเศษ เช่น ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ร้านอาหาร และสินค้าบริการ ด้วยราคาเพียง 100 บาทต่อ 1 รายการ ในรูปแบบชิงโชคให้ 4 หมื่นคนผ่านการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิซื้อแพคเกจ

สำหรับขั้นตอนง่ายกว่ามาตรการ "ชิม ช้อป ใช้" เพื่อหวังต่อยอดจากมาตรการ "ชิม ช้อป ใช้" ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเริ่มออกไปใช้สิทธิ์ท่องเที่ยวในช่วงแรก นับว่าเป็นโปรโมชั่นอีกด้านหนึ่งที่หนุนให้เกิดการท่องเที่ยว เงินกระจายออกสู่ต่างจังหวัด

- นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลังของไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานการเปิดสัมมนาของบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ในหัวข้อ "Global Risks & Thailand’s Economic Outlook ว่า ฟิทช์ฯ ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังมีโอกาสที่ดีจากการที่รัฐบาลเดินหน้าแผนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจและได้รับความสนใจจากนักลงทุนในระดับโลก สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่พบว่านักลงทุนต่างชาติยื่นขอลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ฟิทช์ฯ ได้ปรับเครดิตของประเทศไทยขึ้นไปอยู่ในระดับที่มุมมองเป็นบวกจากเดิมอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนรุนแรง และหลายประเทศถูกปรับลดหรือคงอันดับเครดิตไว้เท่าเดิม ถือว่าไทยเป็นกลุ่มประเทศส่วนน้อยที่ฟิทซ์ฯ ปรับเครดิตของประเทศให้ดีขึ้น


- นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า มาตรการ"ชิมช้อปใช้"จะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 0.2-0.3% จากเป้าหมาย 3% เนื่องจากคาดจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการอุดหนุนจากรัฐ 1.9 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการใช้จ่ายจากประชาชนในกระเป๋า 2 เพื่อขอรับเงินแคชแบ็คคืน 15%

พร้อมยืนยันว่า มาตรการชิมช้อปใช้ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะจากการใช้จ่ายในช่วง 5 วันแรกอยู่ที่ 628 ล้านบาท มีการใช้จ่ายผ่านห้างขนาดใหญ่แค่ 142 ล้านบาทหรือ 22% เท่านั้น

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com