MTS Help Center

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลดลง ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่วิตกกังวลต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 494.42 จุด หรือ -1.9% ที่ระดับ 26,078.68 จุด โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลงหลุดต่ำกว่าระดับเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน และ 100 วัน ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -1.8% ที่ระดับ 2,887.61 จุด โดยอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ท่ามกลางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลง 2% ด้านดัชนี Nasdaq ปิด -1.6% ที่ระดับ 7,785.25 จุด

เจ้าหน้าที่จากจีนและสหรัฐฯมีกำหนดจะพบกันในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยสองฝ่ายต่างประสบปัญหา Trade War ระหว่างกันมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนรวมทั้งกระแสคาดการณ์เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ในช่วง 2 วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 838 จุด หรือร่วงลง 3.1% ในไตรมาสนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นได้ 1.2% ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมก็ดูเหมือนจะยังสดใส เนื่องจากปีนี้ยังอยู่ในทิศทางปรับขึ้นได้ประมาณ 11.8%

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลต่อสงครามการค้าครั้งใหม่ที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีกับทางอียู โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -1.75% และ Topix เปิด -1.69% ทางด้าน S&P/ASX200 ปิด -2.08% และดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด -0.34%

ตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้ปิดทำการเนื่องในวันหยุดประจำชาติ

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

นักบริหารเงิน ประเมินเงินบาทในวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 30.55-30.70 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งระหว่างวันมีปัจจัยผสม โดยมีแรงขายดอลลาร์หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่ต่อมามีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของหสรัฐฯ, การเมืองสหรัฐฯ, การเจรจาค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และ Brexit

- ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันของไทย (กกร.) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปี 62 มาที่ 2.7-3.0% จากเดิมคาด 2.9-3.3% พร้อมปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือ -2.0% ถึง 0.0% จากเดิมคาด -1.0% ถึง 1.0% ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อ, ประเด็น Brexit และทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า

- รมว.การคลังไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานการเปิดสัมมนาของบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ในหัวข้อ "Global Risks & Thailand’s Economic Outlook ว่า ฟิทช์ฯยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังมีโอกาสที่ดีจากการที่รัฐบาลเดินหน้า

แผนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมทำให้ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจและได้รับความสนใจจากนักลงทุนในระดับโลก สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่พบว่านักลงทุนต่างชาติยื่นขอลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไทย (สศค.) คาดว่า มาตรการ"ชิมช้อปใช้"จะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 0.2-0.3% จากเป้าหมาย 3% เนื่องจากคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตั้งแต่เดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท