• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2562

    4 ตุลาคม 2562 | Economic News
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากที่ข้อมูลภาคบริการสหรัฐฯล่าสุดที่ออกมาแย่ลงจุดประกายความกังวลว่าปัญหาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเป็นปัจจัยที่บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งนำไปสู่การเข้าถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงมาแตะ 98.816 จุด หรืออ่อนค่าลงประมาณ 0.9% หลังไปทำสูงสุดรอบ 2 ปีครั้งในสัปดาห์นี้ ภาวพรวมสัปดาห์นี้อ่อนค่าลงประมาณ 0.3%

เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จะเห็นว่าค่าเงินเยนแข็งค่ากลับลงมา 0.15% ที่ 106.78เยน/ดอลลาร์ หลังเมื่อวานนี้ไปทำแข็งค่ามากที่สุดรอบ 1 เดือน ที่ 106.48 เยน/ดอลลาร์

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงเห็นยูโรอ่อนค่าลงไป 0.15% แตะ 1.0980 ดอลลาร์/ยูโร แต่ก็ยังอยู่ห่างจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดที่เคยทำไว้ในรอบ 2 ปีครึ่งบริเวณ 1.0879 ดอลลาร์/ยูโรในวันอัังคารที่ผ่านมา และโดยภาพรวมสัปดาห์นี้ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าได้ประมาณ0.34%

· ผลสำรวจรอยเตอร์ส ชี้ว่า ค่าเงินหยวนมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีกในช่วงสิ้นปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และอาจไปทำต่ำสุดนับตั้งแต่ที่เกิดวิกฤตทางการเิงนในปี2008 โดยการอ่อนค่าส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบจาก Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนทั่วทุกมุมโลกก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปีหน้า และความเป็นไปได้ของการหารือการแก้ไขปัญหาTrade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์หน้า ที่อาจกดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่ามากขึ้นได้อีก ท่ามกลางตลาดจีนที่ปิดทำการยาวจนถึงวันที่ 7 ต.ค.

· นักวิเคราะห์จาก FXStreet กล่าวว่า ค่าเงินเยนแข็งค่ากลับหลุด 107.05เยน/ดอลลาร์ลงมาที่ระดับ 106.48 เยน/ดอลลาร์ หรือทำแข็งค่ามากที่สุดในรอบ1 เดือน หลังจากที่ข้อมูลของ ISM เผยภาคการผลิตออกมาแย่กว่าที่คาด ประกอบกับตลาดหุ้นรีบาวน์ได้เล็กน้อย รอคอยข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯในคืนนี้

ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าลงหลุดระดับ Fibonacci Retracement 50% จากสภาวะอ่อนค่าก่อนหน้านี้ และมีโอกาสกลับแข็งค่าลงสู่ Fibonacci Retracement 38.2% ที่ 106.9 เยน/ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ระดับเส้นค่าเฉลี่ย 200 SMA ก็ดูจะมีแรงเข้าซื้อกลับได้

· FXStreet ระบุว่า ข้อมูลการจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯที่จะเปิดเผยโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯคืนนี้ เวลา 19.30น. ถือเป็นไฮไลท์เด่นที่ตลาดให้ความสำคัญ โดยถูกคาดว่าจะมีการจ้างงานขยายตัวขึ้นแตะ 145,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. จากระดับ 130,000 ตำแหน่ง


ทางด้านอัตราว่างงาน คาดจะทรงตัวเท่าเดิมที่ 3.7% รวมทั้งอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงที่ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายปีในเดืนอส.ค. ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายสัปดาห์ น่าจะยังทรงตัวที่ระดับ34.4 จุด

· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้จีนทำการตรวจสอบ นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายฮันเตอร์ ลูกชายของเขา ในระหวา่งที่ทั้ง 2 ประเทศจะกลับมาเจรจาการค้ากันอีกครั้ง

ทั้งนี้ นายทรัมป์เอง ก็แสดงความเห็นว่า จีนควรรเริ่มสืบสวนสองพ่อลูก

ตระกูลไบเดิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน มันเลวร้ายพอๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน

อย่างไรก็ดี นายไบเดนถือเป็นหนึ่งคู่แข่งทางการเมืองสมัยหน้าของนายทรัมป์ แต่การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว นายทรัมป์เองก็ไม่ได้แสดงหลักฐานเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่เขากล่าวหาไบเดน และบุตรชายของเขา

· ทางการฝรั่งเศส เผย ข้อมูลยอดขาดดุลการค้าฝรั่งเศสทรงตัวที่ 1.231 แสนล้านเหรียญในช่วงสิ้นเดือนนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วพบว่ามียอดขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก9.73 หมื่นล้านเหรียญ

ทั้งนี้ สถาบัน INSEE เผยคาดการณ์ในสัปดาห์นี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะขยายตัวได้ราว 0.3% ในปีนี้ โดยตลาดแรงงานที่ยังมีความแข็งแกร่งพอจะรับมือกับภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกได้

· รายงานจากรอยเตอร์ส เผยว่า มีสื่อต่างประเทศรายงานถึงการที่ นางแคร์รี แลม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษของฮ่องกง กำลังเตรียมจัดการแถลงข่าวในวันนี้ ซึ่งถูกคาดว่าจะเป็นการแถลงข่าวเพื่อประกาศการห้ามสวมหน้ากากในกลุ่มผู้ประท้วง โดยนี่จะเป็นการออกกฎหมายฉุกเฉินครั้งแรกนับตั้งแต่ที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 1997

อย่างไรก็ดี สื่อต่างประเทศยังรายงานอีกว่า ผู้นำฮ่องกงจะประกาศแถลงการณ์ดังกล่าวในช่วงเวลา 15.00น. และคาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเที่ยงคืนนี้ (ตามเวลาฮ่องกง)

· ล่าสุด นางแครี ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษของฮ่องกง มีการประกาศออกกฎหมายฉุกเฉิในการสั่งห้ามสวมหน้ากาก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ต.ค. โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกจำคุก และปรับเป็นเงิน 25,000 ฮ่องกงดอลลาร์ หรือ 3,187เหรียญ

· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯที่อาจขยายตัวได้ในเดืนอก.ย. ควบคู่กับค่าแรงสหรัฐฯที่แข็งแกร่งก็อาจช่วยบรรเทาความกังวลของตลาดการเงินเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ที่อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าได้

โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯคืนนี้จะมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจหลักๆส่วนใหญ่อ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตที่หดตัวลงในรอบกว่า 10 ปี และภาคบริการที่อ่อนแอลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2016

ขณะที่สัญญาณจากทีมบริหารทรัมป์ที่ยังคงมีปัญหาทางการค้ากับจีนยืดเยื้อมาอย่างอย่าวนาน 15 เดือน ก็ดูจะส่งผลกระทบกับภาคแรงงานที่อาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะขาลงได้ โดยที่สงครามการค้าอาจไปบั่นทอนในกลุ่มความเชื่อมั่นธุรกิจ, ภาคการลงทุนและการผลิตหดตัวลง

· รายงานจากรอยเตอร์ส สะท้อนว่า การที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษียุโรปครั้งใหม่อีก25% ในกลุ่มชีสของอิตาลี, ไวน์ของฝรั่งเศส, วิสกี้ของสก็อตแลนด์, กลุ่มอุตสาหกรรมขนมปังกรอบอังกฤษ, น้ำมันมะกอกของสเปนและสินค้าในกลุ่มอาหารของยุโรปอีกนับพันรายการที่ดูจะมีราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นก่อนชวงวันหยุดเทศกาลที่จะถึงนี้ รวมทั้งค่าแรงชาวอเมริกาด้วย

ตัวแทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า จะทำการขึ้นภาษียุโรปหลังจากที่ทาง WTOอนุมัติให้สหรัฐฯสามารถตอบโต้ทางยุโรปที่ทำการอุดหนุนบริษัทแอร์บัสอย่างผิดกฎหมาย

สมาคมอาหารหรือ The Specialty Food Association กล่าวว่า การขึ้นภาษีดังกล่าว จะส่งผลให้ยอดขายดิ่งลง และกระทบสู่การจ้างงานสหรัฐฯประมาณ14,000 รายในกลุ่มของผู้ค้าปลีกอาหารของทางสมาคม และกลุ่มผู้ค้าปลีกด้านอาหารอื่นๆอีกว่า 20,000 รายทั่วสหรัฐฯ

ขณะที่ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจะกระทบกับการใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วงวันหยุดเทศกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชีสที่ดูจะมีราคาสูงขึ้นจาก 45 เหรียญ เป็น 60เหรียญหลังมีการขึ้นภาษี และทำให้การเฉลิมฉลองในช่วง Thanksgiving รวมทั้งวันหยุดช่วงสิ้นปีดูจะได้รับผลกระทบลดน้อยลง

สมาคมวิสกี้ หรือ Scotch Whisky Association ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายวิสกี้มองว่ายอดขายสินค้าอังกฤษจะมีมูลค่าลดลงไปกึ่งหนึ่งจากลิสต์การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ หรือมีมูลค่าความเสียหายรวม 460 ล้านเหรียญ

· สมาชิกเฟดสองรายในวันนี้แสดงความคิดเห็นในเชิงเปิดกว้างต่อการปรับลดดอกเบี้ย หลังจากที่ทราบข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ

โดยรายแรก ได้แก่ นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด ระบุว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสมและยั่งยืน เพื่อให้คนว่างงานอยู่ในระดับต่ำ, การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเงินเฟ้อในระดับที่มีเสถียรภาพ ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคและเศรษฐกิจภาพรวมยังอยู่ในทิศทางบวก และตลาดแรงงานค่อนข้างแข็งแกรง แม้ว่าในเวลาเดียวกันจะเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก,ความไม่แน่นอนทางการค้า รวมทั้งเงินเฟ้อ ที่ทั้งหมดอานกลายมาเป็นปัจจัยกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯได้

ด้าน นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ก็กล่าวตามมาว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแอ ควบคู่กับการลงทุนภาคธุรกิจและการผลิตที่อ่อนตัว ก็มีแนวโน้มว่าอาจส่งผลกระทบเป็นเวลานานได้

ขณะที่นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า ในการประชุมวาระหน้าเฟดจะหารือถึงความเหมาะสม และการปรับนโยบายการเงินให้เป็นไปอย่างเหมาะสม

· รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี กล่าวว่า อียูจะทำการตอบโต้มาตรการการขึ้นภาษีครั้งใหม่ของสหรัฐฯต่อสินค้าของยุโรป

· ภาคบริการของอินเดียหดตัวลงในเดือนก.ย. ท่ามกลางยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 โดยพบว่าผลสำรวจภาคธุรกิจล่าสุดปรับตัวลงทำต่ำสุดรอบ 2 ปีครึ่ง

IHS Markit Services เผยดัชนี PMI อินเดียวร่วงลงทำต่ำสุดรอบ 19 เดือนที่48.7 จุด จากระดับ 52.4 จุด.

· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า เขามีความตั้งใจจะเข้าพบกับ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นของหน่วยงานในกาหลีเหนือ พร้อมทั้งจะมีการเสนอขอเจรจาแม้ว่าทางประเทศจะมีการยิงมิสไซน์ก็ตาม

โดยในสัปดาห์นี้ ทางเกาหลีเหนือเผยถึงการประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธครั้งใหม่ที่ปล่อยจากเรือดำน้ำได้ ก่อนเกิดการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับทางสหรัฐฯรอบใหม่

· ผลสำรวจรอเตอร์ส ชี้ว่า ยอดคำสั่งซื้อภาคการผลิตญี่ปุ่นถูกคาดว่าจะหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนส.ค. แตะระดับ 2.5% หลังจากที่เดือนก.ค. หดตัวลงไป 6.6% และจะเป็นการบ่งชี้ถึงความต้องการทั่วโลกที่อ่อนแอลง รวมทั้งอาจทำให้ภาคบริษัทต่างๆอาจจำเป็นต้องปรับลดการลงทุนไป และนี่จะเป็นอีกหนึ่ีงสัญญาณที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังชะลอตัว

· สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้นแต่ภาพรวมรายสัปดาห์ยังคงปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการน้ำมัน แม้ว่าซาอุดีอาระเบีย ได้ฟื้นฟูกำลังการผลิตน้ำมันอย่างเต็มที่หลังจากการโจมตีครั้งล่าสุดแล้วก็ตาม

โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 57.83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 52.54 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ข้อมูลภาคบริการและข้อมูลภาคแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกและเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยืดเยื้ออาจผลักดันเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com