ทางด้านอัตราว่างงาน คาดจะทรงตัวเท่าเดิมที่ 3.7% รวมทั้งอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงที่ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายปีในเดืนอส.ค. ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายสัปดาห์ น่าจะยังทรงตัวที่ระดับ34.4 จุด
· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้จีนทำการตรวจสอบ นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายฮันเตอร์ ลูกชายของเขา ในระหวา่งที่ทั้ง 2 ประเทศจะกลับมาเจรจาการค้ากันอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายทรัมป์เอง ก็แสดงความเห็นว่า จีนควรรเริ่มสืบสวนสองพ่อลูก
ตระกูลไบเดิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน มันเลวร้ายพอๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน
อย่างไรก็ดี นายไบเดนถือเป็นหนึ่งคู่แข่งทางการเมืองสมัยหน้าของนายทรัมป์ แต่การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว นายทรัมป์เองก็ไม่ได้แสดงหลักฐานเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่เขากล่าวหาไบเดน และบุตรชายของเขา
· ทางการฝรั่งเศส เผย ข้อมูลยอดขาดดุลการค้าฝรั่งเศสทรงตัวที่ 1.231 แสนล้านเหรียญในช่วงสิ้นเดือนนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วพบว่ามียอดขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก9.73 หมื่นล้านเหรียญ
ทั้งนี้ สถาบัน INSEE เผยคาดการณ์ในสัปดาห์นี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะขยายตัวได้ราว 0.3% ในปีนี้ โดยตลาดแรงงานที่ยังมีความแข็งแกร่งพอจะรับมือกับภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกได้
· รายงานจากรอยเตอร์ส เผยว่า มีสื่อต่างประเทศรายงานถึงการที่ นางแคร์รี แลม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษของฮ่องกง กำลังเตรียมจัดการแถลงข่าวในวันนี้ ซึ่งถูกคาดว่าจะเป็นการแถลงข่าวเพื่อประกาศการห้ามสวมหน้ากากในกลุ่มผู้ประท้วง โดยนี่จะเป็นการออกกฎหมายฉุกเฉินครั้งแรกนับตั้งแต่ที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 1997
อย่างไรก็ดี สื่อต่างประเทศยังรายงานอีกว่า ผู้นำฮ่องกงจะประกาศแถลงการณ์ดังกล่าวในช่วงเวลา 15.00น. และคาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเที่ยงคืนนี้ (ตามเวลาฮ่องกง)
· ล่าสุด นางแครี ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษของฮ่องกง มีการประกาศออกกฎหมายฉุกเฉิในการสั่งห้ามสวมหน้ากาก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ต.ค. โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกจำคุก และปรับเป็นเงิน 25,000 ฮ่องกงดอลลาร์ หรือ 3,187เหรียญ
· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯที่อาจขยายตัวได้ในเดืนอก.ย. ควบคู่กับค่าแรงสหรัฐฯที่แข็งแกร่งก็อาจช่วยบรรเทาความกังวลของตลาดการเงินเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ที่อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าได้
โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯคืนนี้จะมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจหลักๆส่วนใหญ่อ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตที่หดตัวลงในรอบกว่า 10 ปี และภาคบริการที่อ่อนแอลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2016
ขณะที่สัญญาณจากทีมบริหารทรัมป์ที่ยังคงมีปัญหาทางการค้ากับจีนยืดเยื้อมาอย่างอย่าวนาน 15 เดือน ก็ดูจะส่งผลกระทบกับภาคแรงงานที่อาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะขาลงได้ โดยที่สงครามการค้าอาจไปบั่นทอนในกลุ่มความเชื่อมั่นธุรกิจ, ภาคการลงทุนและการผลิตหดตัวลง
· รายงานจากรอยเตอร์ส สะท้อนว่า การที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษียุโรปครั้งใหม่อีก25% ในกลุ่มชีสของอิตาลี, ไวน์ของฝรั่งเศส, วิสกี้ของสก็อตแลนด์, กลุ่มอุตสาหกรรมขนมปังกรอบอังกฤษ, น้ำมันมะกอกของสเปนและสินค้าในกลุ่มอาหารของยุโรปอีกนับพันรายการที่ดูจะมีราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นก่อนชวงวันหยุดเทศกาลที่จะถึงนี้ รวมทั้งค่าแรงชาวอเมริกาด้วย
ตัวแทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า จะทำการขึ้นภาษียุโรปหลังจากที่ทาง WTOอนุมัติให้สหรัฐฯสามารถตอบโต้ทางยุโรปที่ทำการอุดหนุนบริษัทแอร์บัสอย่างผิดกฎหมาย
สมาคมอาหารหรือ The Specialty Food Association กล่าวว่า การขึ้นภาษีดังกล่าว จะส่งผลให้ยอดขายดิ่งลง และกระทบสู่การจ้างงานสหรัฐฯประมาณ14,000 รายในกลุ่มของผู้ค้าปลีกอาหารของทางสมาคม และกลุ่มผู้ค้าปลีกด้านอาหารอื่นๆอีกว่า 20,000 รายทั่วสหรัฐฯ
ขณะที่ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจะกระทบกับการใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วงวันหยุดเทศกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชีสที่ดูจะมีราคาสูงขึ้นจาก 45 เหรียญ เป็น 60เหรียญหลังมีการขึ้นภาษี และทำให้การเฉลิมฉลองในช่วง Thanksgiving รวมทั้งวันหยุดช่วงสิ้นปีดูจะได้รับผลกระทบลดน้อยลง
สมาคมวิสกี้ หรือ Scotch Whisky Association ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายวิสกี้มองว่ายอดขายสินค้าอังกฤษจะมีมูลค่าลดลงไปกึ่งหนึ่งจากลิสต์การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ หรือมีมูลค่าความเสียหายรวม 460 ล้านเหรียญ
· สมาชิกเฟดสองรายในวันนี้แสดงความคิดเห็นในเชิงเปิดกว้างต่อการปรับลดดอกเบี้ย หลังจากที่ทราบข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ
โดยรายแรก ได้แก่ นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด ระบุว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสมและยั่งยืน เพื่อให้คนว่างงานอยู่ในระดับต่ำ, การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเงินเฟ้อในระดับที่มีเสถียรภาพ ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคและเศรษฐกิจภาพรวมยังอยู่ในทิศทางบวก และตลาดแรงงานค่อนข้างแข็งแกรง แม้ว่าในเวลาเดียวกันจะเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก,ความไม่แน่นอนทางการค้า รวมทั้งเงินเฟ้อ ที่ทั้งหมดอานกลายมาเป็นปัจจัยกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯได้
ด้าน นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ก็กล่าวตามมาว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแอ ควบคู่กับการลงทุนภาคธุรกิจและการผลิตที่อ่อนตัว ก็มีแนวโน้มว่าอาจส่งผลกระทบเป็นเวลานานได้
ขณะที่นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า ในการประชุมวาระหน้าเฟดจะหารือถึงความเหมาะสม และการปรับนโยบายการเงินให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
· รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี กล่าวว่า อียูจะทำการตอบโต้มาตรการการขึ้นภาษีครั้งใหม่ของสหรัฐฯต่อสินค้าของยุโรป
· ภาคบริการของอินเดียหดตัวลงในเดือนก.ย. ท่ามกลางยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 โดยพบว่าผลสำรวจภาคธุรกิจล่าสุดปรับตัวลงทำต่ำสุดรอบ 2 ปีครึ่ง
IHS Markit Services เผยดัชนี PMI อินเดียวร่วงลงทำต่ำสุดรอบ 19 เดือนที่48.7 จุด จากระดับ 52.4 จุด.
· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า เขามีความตั้งใจจะเข้าพบกับ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นของหน่วยงานในกาหลีเหนือ พร้อมทั้งจะมีการเสนอขอเจรจาแม้ว่าทางประเทศจะมีการยิงมิสไซน์ก็ตาม
โดยในสัปดาห์นี้ ทางเกาหลีเหนือเผยถึงการประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธครั้งใหม่ที่ปล่อยจากเรือดำน้ำได้ ก่อนเกิดการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับทางสหรัฐฯรอบใหม่
· ผลสำรวจรอเตอร์ส ชี้ว่า ยอดคำสั่งซื้อภาคการผลิตญี่ปุ่นถูกคาดว่าจะหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนส.ค. แตะระดับ 2.5% หลังจากที่เดือนก.ค. หดตัวลงไป 6.6% และจะเป็นการบ่งชี้ถึงความต้องการทั่วโลกที่อ่อนแอลง รวมทั้งอาจทำให้ภาคบริษัทต่างๆอาจจำเป็นต้องปรับลดการลงทุนไป และนี่จะเป็นอีกหนึ่ีงสัญญาณที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังชะลอตัว
· สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้นแต่ภาพรวมรายสัปดาห์ยังคงปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการน้ำมัน แม้ว่าซาอุดีอาระเบีย ได้ฟื้นฟูกำลังการผลิตน้ำมันอย่างเต็มที่หลังจากการโจมตีครั้งล่าสุดแล้วก็ตาม
โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 57.83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 52.54 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ข้อมูลภาคบริการและข้อมูลภาคแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกและเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยืดเยื้ออาจผลักดันเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย