· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดอ่อนตัวลงท่ามกลางรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูจะทำให้นักลงทุนยังคงมีท่าทีระมัดระวังและรอคอยผลการประชุมช่วงปลายสัปดาห์
เพราะถึงแม้จะมีรายงานว่าจีนดูจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อการทำข้อตกลงเป็นวงกว้างกับทางสหรัฐฯ แต่นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ก็ดูจะกล่าวถ้อยแถลงที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลให้แก่ตลาด เนื่องจากเขาระบุถึง ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯและจีนจะสามารถเจรจาทางการค้าร่วมกันและอาจมีความคืบหน้ามากขึ้นในการพบกันครั้งนี้ พร้อมระบุว่า สหรัฐฯเปิดกว้างต่อข้อตกลงใดๆที่ทางการจีนนำเสนอ
นอกจากนี้ ทวิตเตอร์ของผู้สื่อข่าวจาก Fox ก็ระบุว่า ทางรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวถึง การที่จีน พร้อมที่จะทำข้อตกลงกับสหรัฐฯอันเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับลง 95.7 จุด หรือ -0.36% ที่ระดับ 26,478.02 จุด ทางด้าน S&P500 ปิด -13.22 จุด หรือ -0.45% ที่ระดับ 2,938.79 จุด และ Nasdaq ปิด -0.33% ที่ระดับ 7,956.29 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นท่ามกลางตลาดที่รอคอย Brexit และเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีน หลังจากที่ข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯที่ดูจะช่วยหนุนหุ้นยุโรปวานนี้ดัชนี Stoxx600 ปิด +0.74% นำโดยหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ปิด +0.4%
มาตรวัดความเชื่อมั่นนักลงทุนหรือ Eurozone Sentix ออกมาลดลงแตะ -16.8 จุดในเดือนต.ค. จากระดับ -11.1 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เม.ย. ปี 2013
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางดัชนีญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่มีการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น
โดยเช้านี้ ดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.95% ขณะที่ดัชนี Topix ปรับตัวสูงขึ้น 0.83% ด้านดัชนี Kospi เกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 0.42% เนื่องจากหุ้นหุ้น Samsung เพิ่มขึ้น 0.63% หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีประกาศแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 โดยระบุว่าผลประกอบการจากการดำเนินงานที่สิ้นสุดในเดือนก.ย.คาดว่าจะมากกว่าครึ่งหนึ่งของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดทำการตามปกติหลังจากที่หยุดยาวในช่วงวันหยุดประจำชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 30.35-30.55 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลักๆ ตลาดน่าจะรับรู้ข่าว Non Farm ไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็กลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสงครามการค้า แต่ก็อาจจะมีประเด็น Brexit สอดแทรกเข้ามา รวมถึงปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประเมินภาคการเงิน (Financial Sector Assessment Program - FSAP) ของประเทศไทย ในภาพรวมพบว่าระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพ มีความมั่นคงสามารถรองรับความผันผวนได้ดี และการกำกับดูแลภาคการเงินของไทยมีประสิทธิภาพสูง เป็นไปตามมาตรฐานสากลเทียบเคียงได้กับประเทศชั้นนำ
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทย (ครม.) วันนี้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท โดยจะส่งให้ทางสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาได้ศึกษารายละเอียดก่อนจะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ ต่อไป
- คณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจไทย (ครม.เศรษฐกิจ) นัดประชุมรอบต่อไปในวันที่ 11 ต.ค.นี้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวชุดใหญ่เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย หลังจากได้มี 2 มาตรการกระตุ้นคนไทยเที่ยวไทยไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
- ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ได้เปิดตัวรายงาน Trade 20 ซึ่งพบว่าประเทศไทยติดอันดับที่ 8 ใน 20 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด โดยมีปัจจัยหนุนจากความพร้อมในด้านการค้าและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในด้านอีคอมเมิร์ซ
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (CEO Survey) : Economic Outlook ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 62 ว่า CEO คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะเติบโตลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน โดยคาดว่าในปี 62 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในช่วง 2-3% ขณะที่ในการสำรวจครั้งก่อน CEO ส่วนใหญ่ หรือ 74% ของ CEO คาดว่าในปี 62 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในช่วง 3-4% โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีจะได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ เสถียรภาพการเมืองไทย และการท่องเที่ยว