• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2562

    9 ตุลาคม 2562 | Economic News
 

· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน โดยถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับ Trade War แต่ภาพรวมก็ยังดูจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ถ้อยแถลงประธานเฟดที่ไม่ได้กล่าวยืนยันถึงการจะลดดอกเบี้ยอีกครั้ง แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะออกมาอ่อนแอเกินคาด อันได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI เมื่อคืนนี้

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 99.088 จุด หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 99.2 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 106.97 เยน/ดอลลาร์ หลังจากแข็งค่าลงมาหลุด 107.3 จเยน/ดอลลาร์

· ดัชนีราคาผู้ผลิตหรือ PPI ออกมาแย่ลงในเดือนก.ย.ดูจะเป็นการขยายตัวได้น้อยที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และมีแนวโน้มที่จะทำให้เฟดต้องตัดสินใจเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงอีกเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ ในการประชุมเดือนนี้

โดยดัชนี PPI ร่วงลงเกินคาดสู่ระดับ -0.3% เดือนก.ย. เพราะได้รับแรงกดดันจากการลดลงของราคาสินค้าและภาคบริการ และทำให้ภาพรวมถือเป็นการปรับร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่ ม.ค.

ภาพรวมรอบ 12 เดือนจนถึง ก.ย. ปีนี้ ดัชนี PPI ขยายตัวได้ 1.4% ซึ่งถือเป็นการขยายตัวด้วยอัตราที่น้อยที่สุดตั้งแต่พ.ย. ปี 2016 หลังจากที่ขยายตัวได้ 1.8% ในเดือนส.ค.

อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมาแย่เกินคาดก็ดูจะสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ท่ามกลางปัญหา Trade War และการชะลอตัวของต่างประเทศ และจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ที่สหรัฐฯและจีนมี่ข้อขัดแย้งทางการค้าก็ส่งผลกระทบให้การลงทุนในภาคธุรกิจ และภาคการผลิตกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย

· รายงานจาก The Guardian ระบุว่า ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมาทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน จากความหวังเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ที่เลือนหายไปอีกครั้ง และเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นที่จะเข้าสู่กำหนดเส้นตาย 31 ต.ค.นี้ ดังนั้น เราจึงเห็นแรงเทขายกลับเข้ามาในค่าเงินปอนด์

นอกจากนี้ ค่าเงินปอนด์ยังถูกดดันจากสัญญาณทางเศรษฐกิจ จึงเห็นเงินปอนด์ร่วงลงมาแนว 1.22 ดอลลาร์/ปอนด์อีกครั้ง

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ทางการจีนคัดค้านเสียงแข็งต่อการที่ทางทำเนียบขาวของสหรัฐฯสั่งขึ้นบัญชีดำหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนของจีนจำนวน 28 แห่งที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชายอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ

โดย นายเก็ง จวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ความเคลื่อนไวหล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นความพยายามแทรกแซงกิจการภายในของจีน

ขณะที่โฆษกรัฐมนตรีระบุในแถลงการณ์ที่ต้องการให้สหรัฐฯหยุดการกระทำดังกล่าว รวมทั้งยุติการแทรกแซงจีน พร้อมกันนี้จีนต้องการให้สหรัฐฯมีการถอดถอนรายชื่อบริษัทออกจากบัญชีดำตามที่ประกาศ ซึ่งทางการจีนพร้อมจะทำทุกทางด้วยมาตรการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจีน

แถลงการณ์ล่าสุดดูจะนำมาซึ่งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนมากขึ้นก่อนการประชุมระดับสูงของทั้งสองประเทศในช่วงปลายสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯและทีมบริหาร มีการประกาศระงับการออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่จีนที่มีส่วนร่วมกับการกดขี่ข่มเหง รวมทั้งการจับกุมชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากในมณฑลซินเจียง ซึ่งบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะไม่สามารถทำธุรกิจกับบริษัทจีนใดๆได้ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากทางรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯนั้นมีการขยายบัญชีดำไปยังบริษัทไฮค์วิชัน (ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่) ตลอดจนบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีประดิษฐ์ (AI) โดยอ้างเหตุด้านความมั่นคงของชาติเช่นเดียวกับกรณีของบริษัทหัวเว่ย

· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า จะเริ่มต้นขยายบัญชีงบดุลของเฟดอีกครั้งในเร็วๆนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนตลาดการกู้ยืมสหรัฐฯ โดยเฟดการขยายวงเงินการถือครองตราสารหนี้ อาจเกิดขึ้นได้ในเร็วๆวันนี้ ตลอดจนการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นก็ดูจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ประธานเฟดสื่อ ณ ที่ประชุมกรุงเดนเวอร์เมื่อวานนี้ และประธานเฟดก็ค่อนข้างกล่าวชัดว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่ QE และไม่ถือเป็น QE อย่างที่เคยเกิดขึ้นมา

· นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า เฟดกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากในการประเมินผลกระทบจาก Trade War ที่กำลังดำเนินไปและส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะดูเหมือน Trade War จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว ไม่เพียงแต่กำแพงภาษี และดูจะลุกลามต่อภาคธุรกิจ, ภาคครัวเรือน และภาคการใช้จ่าย ซึ่งผลกระทบต่อปัจจัยข้างต้นก็ดูจะส่งผลให้การใช้มาตรการต่างๆเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้นด้วย

· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดอาจตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้ง ที่ดูเหมือนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เผชิญกับความผันผวน รวมทั้งช่วยหนุนเงินเฟ้อ แต่หากถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่ เขาเองก็ยังมีความไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือเฟดพร้อมเปิดกว้างต่อข้อคิดเห็นในเรื่องการใช้นโยบายดอกเบี้ย

· World Bank ระบุว่า การเติบโตทั่วโลกเกี่ยวข้องกันเป็นเหมือนลูกโซ่ โดยมีปัจจัยหลักมาจากทางการค้าและการลดความขาดแคลนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่ดูเหมือนภาพรวมจะมีสัญญาณชะงักงันลงในรอบเกือบ 10 ปี ภายใต้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการค้า และเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้น

· นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้นำไอเอ็มเอฟคนใหม่ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกดูจะเผชิญกับสัญญาณชะลอตัวพร้อมกัน อันจะเห็นได้จากการอ่อนตัวเช่นเดียวกันในกลุ่มภาคการผลิต และกิจกรรมการลงทุนในทั่วทุกมุมโลก พร้อมกล่าวเตือนว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้หากรัฐบาลต่างๆยังคงล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งทางการค้าและการสนับสนุนการเติบโต เนื่องจากยังมีความเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคบริการและการอุปโภคบริโภคที่อาจได้รับผลกระทบตามมา

· ข้อมูลความต้องการก่อสร้างบ้านใหม่ของอังกฤษปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 6 ปี จากกลุ่มผู้ซื้อบ้านที่ต้องการเห็นความชัดเจนมากขึ้นของ Brexit ก่อนตัดสินใจทำการเข้าซื้อครั้งสำคัญ

· นายเดวิด แซสโซลี หัวหน้ารัฐสภาอียู กล่าวหลังจากการพบกันกับ นายบอริส จอห์นสัน ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆในการเจรจา Brexit

· รายงานจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า ทางอียูมีการตำหนิอังกฤษที่เดินหมากได้แย่มากต่อกรณี Brexit ขณะที่ผู้นำเยอรมนี ก็ระบุว่า ทางอียูมีแนวโน้มสูงจะไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว โดยรวมถึงตัวเธอที่ไม่ยอมรับต่อข้อเรียกร้องดังกล่าวเช่นกัน

· สำหรับนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ แสดงความคิดเห็นว่า ดูจะมีความยากลำบากอย่างมากที่จะรับรองได้ว่าอังกฤษจะสามารถหาข้อตกลงได้ภายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากยังมีช่องว่างจำนวนมากที่เหลืออยู่สำหรับทิศทางของอังกฤษ และเขามั่นใจว่าจะยังไม่เห็นข้อตกลงใดๆเกิดขึ้นในเวลานี้

· ข้อมูลกลุ่มผู้บริโภคออสเตรเลียเดือนต.ค. ออกมาแย่ลง แม้ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงมากถึง 3 ครั้งแล้วในปีนี้จากธนาคารกลางออสเตรเลียก็ตาม จึงยิ่งกัวลต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นๆ ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศได้ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดลดลง 8.6% เมื่อเทียบต้นปี

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงรับข่าวการที่สหรัฐฯทำการขึ้นบัญชีดำต่อบริษัทจีนเพิ่มขึ้น จึงลดความหวังที่ว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าความไม่สงบในอิรักและเอกวาดอร์ดูจะช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันได้อยู่บ้างก็ตาม

น้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับตัวลงไปเกือบ 1% โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 11 เซนต์ หรือ -0.2% ที่ระดับ 58.24 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับลง 12 เซนต์ หรือ -0.2% ที่ระดับ 52.63 เหรียญ/บาร์เรล 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com