· ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินโครนาสวีเดนอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปีเมื่อเทียบกับเงินยูโร ท่ามกลางความหวังว่าจะเห็นข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในการเจรจาสัปดาห์นี้ที่เริ่มอ่อนแอลงไป
ความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเป็นปัจจัยที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรในช่วงเปิดตลาดยุโรป เนื่องจากนักลงทุนตอบรับกับสัญญาณเชิงผ่อนคลายนโยบายการเงินจากถ้อยแถลงประธานเฟดเมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรแข็งค่า 0.2% แถว 1.09785 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า 0.1% แถว 99.007
ขระที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 1.2237 ดอลลาร์/ปอนด์ แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่อ่อนค่าลงไปเมื่อวานนี้
· รายงานทิศทางดัชนีดอลลาร์: จับตาถ้อยแถลงปธ.เฟด และรายงานประชุมเฟด
ตลาดยังคงอยู่ภาวะระมัดระวังก่อนหน้าที่การเจรจาการค้าในระดับสูงของตัวแทนจากสหรัฐฯ-จีนจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง แต่ความไม่แน่นอนนี้น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ในฐานะ Safe-haven นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังไม่ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์และยูโร ตามหลังจากข่าวที่ว่า การเจรจา Brexit ระหว่างอังกฤษและอียูได้หยุดชะงักลง ส่งผลให้ตลาดกังวลกับโอกาสเกิดกรณี No-deal Brexit มากยิ่งขึ้น
การประกาศตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการขนาดเล็กในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด ซึ่งรวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาสมาชิกเฟด ที่เป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาวันนี้ จะมีถ้อยแถลงของประธานเฟดอีกรอบ และรายงานการประชุมเฟด ที่สร้างความผันผวนให้กับค่าเงินดอลลาร์ในคืนนี้ได้
กราฟดัชนีดอลลาร์รายวัน (12 เม.ย. 2019 – 8 ต.ค. 2019)
ดัชนีดอลลาร์จะมีแนวรับสำคัญทางเทคนิคอยู่ที่ 98.75 จุด ซึ่งได้แรงหนุนจากการที่ดัชนีสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วัน หากดัชนียังสามารถทรงตัวเหนือแนวรับสำคัญนี้ได้ ก็มีแนวโน้มที่ดัชนีจะคงทิศทางขาขึ้นต่อ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ระดับ 99.50 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปีนี้ แต่ในกรณีที่ดัชนีอ่อนค่าหลุดแนวรับสำคัญดังกล่าว ก็จะมีแนวรับถัดไปที่ 98.25 จุด ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน และ ระดับ 38.2% Fibonacci retracement
· นักวิเคราะห์จาก Danske Bank มีมุมมองว่า ถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ที่จะขึ้นกล่าวในงาน “Fed listens” ณ รัฐแคนซัสของสหรัฐฯคืนนี้ จะไม่มีความแตกต่างจากถ้อยแถลงเมื่อคืนที่ผ่านมามากนัก
ทั้งนี้ ตลาดจะให้ความสนใจไปยังรายงานการประชุมเดือน ก.ย. ที่จะเปิดเผยภายในคืนนี้เช่นกัน ซึ่งอาจมีสัญญาณเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวจะกล่าวถึงการประชุมครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการประกาศดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่จะเริ่มต้นการเจรจาในระดับสูงวันพรุ่งนี้ สำหรับประเด็นที่สหรัฐฯประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทจีน ทางจีนยังไม่ได้ออกมาดำเนินการตอบโต้ใดๆนอกเหนือจากการกล่าววิพากษ์วิจารย์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่การตอบโต้ของจีนจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านพ้นการเจรจาในสัปดาห์ไปก่อน
· รายงานจาก Bloomberg ที่อ้างอิงหนังสือพิมพ์ Global Times ของประเทศจีน ระบุว่า รัฐบาลจีนมีความคาดหวังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับโอกาสบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯในการเจรจาสัปดาห์นี้
โดยทางรัฐบาลจีนมีมุมมองว่า ปัญหาในการเจรจามีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของฝั่งสหรัฐฯที่ไร้ซึ่งความจริงใจ ประเด็นความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกวัน ประกอบกับความเชื่อใจของแต่ละฝ่ายที่อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกล่าวถึงการเจรจาครั้งที่ผ่านๆมา ว่าสหรัฐฯมักกล่าวอ้างถึงจุดแข็งของสหรัฐฯ แต่จุดแข็งที่สหรัฐฯกล่าวถึง ไม่ใช่จุดที่จะเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจจีนได้เลย
ทางรายงานยังมีการกล่าวถึงประเด็นที่สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัทจีน โดยระบุว่าเป็นกลยุทธ์เก่าแก่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับจีนก่อนหน้าการเจรจาสำคัญ แต่ก็ยืนยันว่า กลยุทธ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและความมุ่งมั่นของจีนแต่อย่างใด
· รายงานจาก Reuters ที่อ้างถึงแหล่งข่าววงใน ระบุว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาจำกัดการอนุมัติวีซ่าให้กับชาวสหรัฐฯที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสต่อต้านจีน ท่ามกลางความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวานนี้ ทางสหรัฐฯได้ประกาศระงับการออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่จีนที่มีส่วนร่วมกับการกดขี่ข่มเหง รวมทั้งการจับกุมชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากในมณฑลซินเจียง ซึ่งทางแหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่กดดันให้จีนตัดสินใจออกมาตรการตอบโต้
นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังได้รายงานว่า การจำกัดวีซ่าชาวสหรัฐฯเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯและประเทศอื่นๆอาจใช้งานองค์กรหรือหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อปลุกระดมกระแสต่อต้านรัฐบาลจีนทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และในฮ่องกง
· รัฐบาลสหรัฐฯประกาศขยายการเพิ่มรายชื่อบริษัทจีนลงบัญชีดำ โดยจะเพิ่มบริษัทด้านการพัฒนา Artificial intelligence รายใหญ่ของจีนอย่าง SenseTime Group และ Megvii Technology ลงไปด้วย จากเดิมที่เพิ่มชื่อหน่วยงานด้านความปลอดภัยของจีนจำนวน 20 แห่ง และบริษัทด้านกล้องวงจรปิดจำนวน 8 แห่ง ที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ทางเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้ยืนยันว่า การเพิ่มรายชื่อลงบัญชีดำครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนสหรัฐฯและจีน แต่ก็ได้ยืนยันว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะยังคงท่าทีกดดันจีนต่อไป
· นายแม็กซ์ บาวคัส อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศจีน กล่าวถึงกรณีที่ทีมบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มบริษัทจีน 28 แห่งลงบัญชีดำ ว่าเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าการเจรจาสำคัญ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิงลบต่อการเจรจาการค้า และยังสร้างความสับสนให้กับจีนว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของทีมบริหารคืออะไรกันแน่
นอกจากนี้ การชุมนุมประท้วงในฮ่องกงอาจเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กดดันความคืบหน้าของการเจรจาการค้าครั้งนี้ได้
· ผลสำรวจโดย Reuters/Ipsos บ่งชี้ว่า บรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภาสหรัฐฯส่วนใหญ่ ยินดีที่จะผลักดันการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ถึงที่สุด แม้จะเป็นการกดดันโอกาสชนะการเลือกตั้งปี 2020 ของพวกเขาก็ตาม
โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตกว่า 55% มีมุมมองว่า หัวหน้าพรรคควรผลักดันการไต่สวนนายทรัมป์ต่อไป แม้ว่ากระบวนการดังกล่าวอาจยืดเยื้อ ใช้งบประมาณสูง หรือทำให้เดโมแครตมีโอกาสชนะการเลือกตั้งปี 2020 น้อยลงก็ตาม
ขณะที่สมาชิกเดโมแครตกว่า 66% มีมุมมองว่า สภาคองเกรสควรให้ความสำคัญกับการไต่สวน แม้อาจจะเป็นการขัดขวางการผลักดันนโยบายอื่นๆที่อาจเป็นผลประโยชน์กับเดโมแครตก็ตาม
สำหรับมุมมองของชาวอเมริกันที่มีต่อการไต่สวน พบว่าประชาชน 45% ยังให้การสนับสนุนกระบวนการไต่สวน เท่ากับผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่วนประชาชนฝั่งที่ไม่สนับสนุนการไต่สวนปรับลดลง 2% จากสัปดาห์ก่อนมาที่ระดับ 39%
· เกิดกระแสการต่อต้าน No-deal Brexit ขึ้นภายในคณะรัฐมนตรีของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โดยคณะรัฐมนตรีกลุ่มหนึ่งส่งสัญญาณจะลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการผลักดัน Brexit
ตามรายงานจาก The Times บรรดาคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้แก่ นางนิคกี มอร์แกน รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม, นายจูเลียน สมิธ รัฐมนตรีด้านความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ, นายโรเบิร์ต บัคแลนด์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม, นายแมทต์ แฮนค็อกค์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข, และนายจ็อฟฟรีย์ ค็อกซ์ อัยการสูงสุด
· นายอดัม ซิลเวอร์ กรรมาธิการประจำสมาคมบาสเกตบอลแห่งอเมริกาเหนือ (NBA) ระบุว่า เขาต้องการเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีน ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเซี่ยงไฮ้วันพฤหัสบดีนี้ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีที่จีนประกาศระงับการถ่ายทอดสดการแข่งขันบาสเกตบอล NBA
การระงับการถ่ายทอดสด เกิดขึ้นหลังจากที่นายแดริล มอรีย์ ผู้จัดการทั่วไปของสโมสร Houston Rockets ทวิตเตอร์ข้อความสนับสนุนการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านและบรรดาบริษัทจีนพากันตัดความสัมพันธ์กับ NBA
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มีมุมมองว่า กรณีของ NBA ได้ทำให้ทวิตเตอร์กล่าวถึงประเด็นนี้กันอย่างล้มหลาม ส่งผลให้ประชาชนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนกันมากกว่าครั้งไหนๆ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์นี้ จึงเพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณความต้องการน้ำมัน
โดยสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สิ้นสุดสัปดาห์ ณ วันที่ 4 ต.ค. 62 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 422 ล้านบาร์เรล สูงกว่าคาดการณ์ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.2% ที่ระดับ 58.12 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.2% เช่นเดียวกันที่ระดับ 52.51 เหรียญ/บาร์เรล
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า CEO ของ Saudi Aramco ยืนยันว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียจะฟื้นกลับมาเต็มกำลังภายในเดือนสิ้นเดือน พ.ย. นี้
· Crude Oil Prices Outlook
ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบเดิม บ่งชี้ว่านักลงทุนยังลังเลที่จะเปิดสถานะจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของทิศทาง อย่างไรก็ตาม ทิศทางที่ราคาน้ำมันน่าจะเคลื่อนไหวไปมากที่สุด ดูจะเป็นฝั่งขาขึ้น เนื่องจากตลาดยังมีความกังวลเกี่ยวกับสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และภาวะหยุดชะงักของกระแสอุปทานน้ำมัน ตลาดน่าจะรอปัจจัยสำคัญอย่างรายงานการประชุมเฟดที่จะเปิดเผยในคืนนี้ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยราคาจะมีระดับสำคัญที่ต้องจับตาอยู่ที่ 59.34 เหรียญ/บาร์เรล ว่าราคาจะ Break เหนือระดับนี้ไปได้หรือไม่