· ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นได้ หลังจากที่ปรับลดลงในช่วงเช้าวั
นนี้ ท่ามกลางความหวังว่าจะเห็นสหรั
ฐฯและจีนเจรจาสงบศึกการค้าร่
วมกัน แต่บรรดานักลงทุนยังคงอยู่
ในภาวะระมัดระวังหลังมีรายงานที่
ระบุว่าการเจรจาอาจจบลงเร็วกว่
ากำหนด
ด้านดัชนี S&P500 mini futures ปรับลดลง 0.1% แต่ก่อนหน้านี้ดัชนีปรับร่วงลงไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วนหลังมีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาอนุมัติให้บริษัทสหรัฐฯสามารถขายสินค้าที่ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงให้กับ Huawei ได้
ขณะที่ดัชนี MSCI ของตลาดหุ้นเอเชีย ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญีปุ่น ปรับสูงขึ้น 0.24%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัวจากที่
ปรับลดลงไปเมื่อเช้า กลับมาปิดตลาดในแดนบวก ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกต่
อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-
จีน จากรายงานที่ว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาอนุมัติให้บริษั
ทสหรัฐฯสามารถขายสินค้าให้กับ Huawei ได้ โดยดัชนี Nikkei ปิด +0.45% ที่ระดับ 21,551.98 จุด จากช่วงเช้าที่ปรับร่วงลงไปกว่า 0.7%
· ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นทำระดับสู
งสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางความหวังที่ดีต่
อการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน แต่รายงานที่ว่
าการเจรจาอาจจบเร็วกว่ากำหนดเป็
นตัวจำกัดการฟื้นตัวของตลาดหุ้น โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด +0.8% ที่ระดัล 2,947.71 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่
วันที่ 26 ก.ย. ขณะที่ดัชนี blue-chip CSI300 ปิด +0.8%
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดแดนลบ ท่ามกลางแรงกดดันจากความตึงเครี
ยดทางการค้า คณะที่ตลาดกำลังจับตาดูความคื
บหน้าของการเจรจาสหรัฐฯ-จี
นภายในวันนี้ โดยดัชนี Stoxx 600 เปิด -0.5% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่เคลื่
อนไหวค่อนข้างผสมผสานกัน โดยหุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานปรั
บขึ้น 0.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มสุขภาพปรับลดลง 1.1%
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้มาที่ 2.7% จากเดิมที่คาดไว้ 3.5% เนื่องมาจากหลายปัจจัยที่สำคัญ เช่น การส่งออกที่ลดลงมากกว่าคาดการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 62, ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ, อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ต่ำและมีผลเหนี่ยวรั้งตัวเลขการลงทุนภาครัฐ พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 63 มาที่เติบโต 2.9% จากเดิม 3.6% ก่อนจะขยายตัวเป็น 3.0% ในปี 64 ขณะที่ปรับลดคาดการณ์การส่งออกในปีนี้มาเป็นหดตัว -5.3% จากครั้งก่อนคาดว่าจะขยายตัว 2.2% ส่วนในปี 63 คาดว่าการส่งออกจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้ 0.2%
- นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในขณะนี้ ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศ โดยคาดว่าจะประกาศใช้ในช่วง 1-2 เดือนนี้
"มีหลายปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ส่วนสำคัญมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ นี่เป็นสิ่งที่ ธปท. และกนง.ไม่สบายใจ เพราะเราตระหนักดีว่ามีผลต่อผู้ส่งออก และผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยว เราได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง และดูมาตรการต่างๆ ที่อาจจะต้องทำเพิ่มเติม โดยจะมีมาตรการที่ต้องทำเพิ่มเติมใน 2-3 กลุ่ม" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว
- ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินว่า ค่าเงินบาทสิ้นปี 63 จะแข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 29.25 บาท/ดอลลาร์ จากความเสี่ยงของโลกที่ยังสูง โดยเฉพาะจากประเด็นสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนยังคงต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ค่าเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยมีเสถียรภาพต่างประเทศแข็งแกร่ง โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และแนวโน้มที่จะได้รับการปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะยังเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง
KBANK คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้งในเดือนธันวาคม และคงดอกเบี้ ยนโยบายตลอดทั้งปี 63 ที่ 1.25% แนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ช้ากว่าธนาคารกลางอื่นๆ อาจไม่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากนัก
สำหรับสาเหตุที่คาดว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง คือ เศรษฐกิจไทยชะลอลงมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกที่หดตัวลงมากจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนและเริ่มส่งผ่านมายังการลงทุนในประเทศทั้งการซื้อเครื่องจักรและการนำเข้าสินค้าทุนที่ชะลอตัวลง อีกทั้งการบริโภคมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว, อัตราเงินเฟ้ออาจไม่สามารถ
- นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.ถิรไทย (TRT) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมงานลงนามกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)ในการสั่งซื้อหม้อแปลงจำหน่าย ชนิดซีเอสพี (Completely Self Protected Type) 3 เฟส 4 สาย 50 เฮิรตช์ 225 กิโลโวลต์แอมแอร์ เป็นราคาทั้งสิ้น 448 ล้านบาท เพื่อติดตั้ง ณ อาคารศูนย์จ่ายหม้อแปลงฝ่ายอุปกรณ์งานจำหน่ายของ กฟน.ในสถานีย่อยไฟฟ้าต่าง ๆ โดยจะเริ่มทะยอยส่งมอบงานช่วงไตรมาส 4/62 และไตรมาส 1/63