• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2562

    11 ตุลาคม 2562 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า การเจรจากับจีนค่อนข้างเป็นไปด้วยดีอย่างมาก และกล่าวย้ำว่า เขามีแผนจะพบกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนที่ทำเนียบขาวต่อในวันศุกร์นี้ และนั่นถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด ขณะที่ค่าเงินปอนด์ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามลางมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับประเด็น Brexit

โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 1.3% ด้านดัชนี S&P e-mini futuresเดพิ่มขึ้น 0.45%

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ เนื่องจากค่าเงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอ่อนค่าลงไป เนื่องจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีความหวังเพิ่มขึ้น

ท่ามกลางความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก Seven & I Holdings ปรับตัวสูงขึ้น 4.9% เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. หลังจากผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อประกาศแผนการปรับโครงสร้างรวมถึงการลดตำแหน่งงานและการปิดสาขา

โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 1.2% ที่ระดับ 21,798.87 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 1.8% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์

ด้านดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.9% ที่ระดับ 1,595.27 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ1 สัปดาห์ครึ่ง

ทั้งนี้ ตลาดการเงินของญี่ปุ่นจะปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวัน Health and Sport Day

· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 เนืองจากเหล่านักลงทุนได้รับแรงหนุนจากสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน

โดยดัชนี Shanghai Composite Index เพิ่มขึ้น 0.9% ที่ระดับ 2,973.66 จุด

· นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินนานาชาติ มีความเห็นว่า เนื่องตลาดกำลังวิตกกังวลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้า หากมีสัญญาณว่าสงครามการค้าจะ “หยุดพัก” แม้เป็นเพียงระยะสั้นๆ ก็สามารถสร้าง “ความโล่งใจครั้งใหญ่” ให้กับตลาดได้ และเมื่อนั้นเชื่อว่าสินทรัพย์เสี่ยงน่าจะได้รับอานิสงค์ปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความคาดหวังที่ค่อนข้างจำกัดเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเจรจาสหรัฐฯ-จีนครั้งนี้ โดยบางส่วนมองว่ามีความเป็นไปได้ที่ทั้ง 2 จะสามารถบรรลุข้อตกลงแบบชั่วคราวได้ ขณะที่บางส่วนคาดหวังว่าการขึ้นภาษีที่มีกำหนดการไว้ในวันที่ 15 ต.ค. และ 15 ธ.ค. จะถูกเลื่อนออกไป

นักวิเคราะห์จาก Brookings Institution กล่าวเตือนว่า ข้อตกลงการค้าใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาครั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอด เมื่อพิจารณาจากการเจรจาครั้งก่อนๆ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างใกล้ที่จะสามารถสรุปข้อตกลงร่วมกันได้ แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเหลวและกลับมาขึ้นภาษีตอบโต้กัน

ประกอบกับการเจรจาครั้งนี้ มีปัจจัยที่น่ากังวลอย่างเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน กับเหตุประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสร้างความซับซ้อนให้กับการเจรจาครั้งนี้ได้


· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดแดนบวก ท่ามกลางแรงหนุนจากหุ้น SAP ที่ปรับขึ้น2.5% ทำระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลัง CEO ประกาศลงจากตำแหน่ง ประกอบกับสัญญาณเชิงบวกจากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยดัชนี STOXX 600 เปิด +0.5%

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว 16 มาตรการ โดยรอบนี้เน้นมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อให้จำนักท่องเที่ยวได้ตามเป้า 39.8 ล้านคนในปีนี้ หลังช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.62) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 26.5 ล้านคน ดังนั้น ช่วง 4 เดือนที่เหลือยังต้องการอีกกว่า 13 ล้านคน

- นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) คาดยอดการออกตราสารหนี้ระยะยาวปีนี้แตะ 1 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ 830,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดออกแล้ว 833,427 ล้านบาท ซึ่งการออกเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มธนาคาร และ กลุ่มอสังหาฯ โดยกลุ่มธนาคารออกตราสารประมาณ 245,749 ล้านบาท และ กลุ่มอสังหาฯประมาณ 587,677 ล้านบาท ถือว่าเป็นกลุ่มเดียวที่มียอดการออกเพิ่มขึ้นทุกปีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

- กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ไทย เปิดเวทีระดมความเห็นเรื่องโอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA)ไทย-สหภาพยุโรปทั่วประเทศ เริ่มเวทีแรกที่ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 62 ระดมมันสมองทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมถกกว่า 150 ชีวิต

- นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) โดยมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้จะอยู่ในระดับ 3% (+/-) ส่วนที่หน่วยงานอื่นมองว่า GDP ปีนี้อาจะเติบโตได้แค่ 2.7% หรือ 2.8% อาจเป็นเพราะยังไม่รวมมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการในช่วงปลายปี ดังนั้น จึงเร็วเกินไปที่จะปรับเป้าหมาย GDP ส่วนปีหน้าคงต้องขอรอดูสถานการณ์โลกที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้ก่อน แต่รัฐบาลก็ต้องการเลี้ยงเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com