• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2562

    15 ตุลาคม 2562 | SET News
· ตลาดหุ้นเอเชียและค่าเงินปอนด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่านักลงทุนยังคงหวังว่าอังกฤษมีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากสหภาพยุโรปในการเจรจาครั้งสำคัญในสัปดาห์นี้

โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.17% ด้านค่าเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ หลังตัวแทนเจรจา Brexit จากฝั่งอังกฤษ ระบุว่า ข้อตกลงกับอียูอาจเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้

ขณะที่การเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นเป็นไปได้อย่างจำกัด โดยถูกกดดันเนื่องจากยังขาดความชัดเจนของการเจรจาการค้าในครั้งต่อไป

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดแดนบวกเกือบ 2% ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยเป็นการตอบสนองของตลาดที่ล่าช้ากับสัญญาณว่าข้อตกลงการการค้าสหรัฐฯ-จีนอาจเกิดขึ้นได้ จากถ้อยแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ก่อน

ขณะที่หุ้นกลุ่มก่อสร้างถูกเข้าซื้อมากขึ้น หลังจากที่พายุไต้ฝุ่นฮาจิบิสได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei กลับมาเปิดซื้อขายเป็นวันแรกหลังพ้นช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น โดยดัชนีปิด +1.87% ที่ระดับ 22,207.21 จุด ขณะที่ดัชนี Topix ปิด +1.56% ที่ระดับ 1,620.20 จุด ใกล้ระดับสูงสุดของวันที่ 26 ก.ย. ที่ 1,623.27 จุด

· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ เนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตประจำเดือนก.ย.ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบกว่าสามปี จึงตอกย้ำความเป็นไปได้ที่จีนจะเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเนื่องจากการผลิตชะลอตัวตามอุปสงค์ที่อ่อนแอและแรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯยังคงไม่ชัดเจน

โดยดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.6% ที่ระดับ 2,991.05 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดแดนบวก หลังนายไมเคิล บาร์เนียร์ ตัวแทนเจรจา Brexitจากฝั่งอียู แสดงความเชื่อมั่นว่าข้อตกลง Brexit ร่วมกับอังกฤษจะสามารถเกิดขึ้นได้ภายในสัปดาห์นี้

โดยดัชนี Stoxx 600 เปิด +0.7% นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และการท่องเที่ยวที่ปรับขึ้นกว่า 1% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆต่างเคลื่อนไหวในแดนบวก


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับช่องทางการให้บริการของธนาคารพาณิชย์และการใช้บริการจากบุคคลภายนอก ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2562 เพื่อผ่อนปรนและกำหนดหลักเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นขึ้น โดยรายละเอียดส่วนหนึ่ง คือเรื่องขยายขอบเขตให้ธนาคารพาณิชย์แต่งตั้งบุคคลธรรมดาเป็นตัวแทนธนาคาร (แบงกิ้ง เอเยนต์) ในธุรกรรมบางประเภทได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก ธปท. ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น มีหลักแหล่งในการให้บริการ มีความพร้อมด้านเครื่องมือและระบบ ไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ไม่พึงประสงค์ โดยสามารถให้บริการในธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น รับถอนเงิน รวมถึงเบิกจ่าย สินเชื่อ รับชำระเงิน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการเข้าถึงบริการของลูกค้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีสาขาธนาคาร หรือตู้เอทีเอ็มให้บริการ และช่วยลดการทำธุรกรรมนอกระบบ เช่น การโอนเงิน การถอนเงินสดผ่านบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย ส่วนแบงกิ้งเอเยนต์ประเภทนิติบุคคล ยังต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ โดยมีข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างธนาคารพาณิชย์

- ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2562 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ3.0 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคการส่งออก

- กรมธนารักษ์เลื่อนประกาศราคาที่ดินใหม่ปี 2563 ไปเป็นปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับใหม่ พ.ร.บ.การประเมินราคาทรัพย์สินฯ ที่จะประกาศใช้ปลายปีนี้ จึงเลื่อนไปก่อน ชี้เป็นผลดีกับประชาชน เพราะปีหน้าเริ่มใช้ภาษีที่ดินแล้วทำให้ยังได้ราคาประเมินของเก่าอยู่

- รัฐบาลไทยชงงบปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท อัดงบเพิ่มขีดสามารถแข่งขัน 3.8 แสนล้านบาท พัฒนาขนส่งโลจิสติกส์มากสุด 9.7 หมื่นล้าน หวังหนุนเศรษฐกิจเติบโตมีเสถียรภาพ "กอบศักดิ์" ไม่ห่วงงบเพิ่มขีดแข่งขันลด 2 หมื่นล้าน ยันรัฐบาลให้ความสำคัญ นักวิชาการ คาดรัฐบาลเข็นเสียงปริมน้ำโหวตผ่าน

- นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท.ที่มีรายได้ส่วนใหญ่อิงสกุลดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีเงินกู้บางส่วนที่อิงสกุลดอลลาร์สหรัฐเช่นเดียวกัน ก็ทำให้เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยธรรมชาติ (natural hedge) แต่ก็สามารถชดเชยได้บางส่วน โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท/ดอลลาร์ กระทบต่อผลการดำเนินงานราว 2 พันล้านบาท

อนึ่ง ค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากระดับปลายปี 61อยู่ที่ราว 32.28 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ราว 30.40 บาท/ดอลลาร์ ในปัจจุบัน หรือแข็งค่าราว 5.7% ณ สิ้นเดือน มิ.ย.62 ตามงบการเงินรวมของ ปตท.มีภาระหนี้4.97 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ภาระหนี้สกุลเงินบาท 3.09 แสนล้านบาท หรือราว62% และสกุลดอลลาร์สหรัฐและอื่น ๆ 1.88 แสนล้านบาท หรือราว 38%

- นางสาวพรรณนลิน กล่าวอีกว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ช่วยเอื้อให้เกิดการเร่งลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการลงทุนของ ปตท.มีบางส่วนที่ต้องนำเข้าสินค้าและอุปกรณ์จากต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ต้องพิจารณาให้มีความเหมาะสม อย่างไรก็ตามการใช้เงินของ ปตท.ในปี 62 มีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการเพิ่มทุนใน บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราว 1.7 หมื่นล้านบาท และจ่ายภาษีสำหรับการขายสินทรัพย์ให้บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ราว 1.6 หมื่นล้านบาท รวมถึงการจ่ายคืนเงินกู้ราว 2.6 หมื่นล้านบาท ตลอดจนมีการลงทุนอื่น ๆ อีกตามปกติ ทำให้เงินสดเฉพาะของปตท.ปรับตัวลงสู่ระดับปกติอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com