• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2562

    18 ตุลาคม 2562 | Economic News



 
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโร โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.7% และล่าสดเช้านี้อยู่ที่ 97.594 จุด จากระดับ 98.113 จุด ท่ามกลางบรรดาผู้นำอียูที่ให้การสนับสนุนข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่นี้สำหรับการที่อังกฤษจะออกจากอียูในวันที่ 31 ต.ค.


ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากต้องจับตาดูว่าข้อตกลง Brexit จะสามารถผ่านการลงมติของบรรดาส.ส.ในรัฐสภาได้หรือไม่ แต่ข่าวของการเห็นชอบข้อตกลงฉบับใหม่ก็ได้ทำให้ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.46% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.12% เมื่อเทียบดอลลาร์ โดยค่าเงินปอนด์ปิด +0.34% ที่ระดับ 1.2874 ดอลลาร์/ปอนด์


อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้รัฐบาลเยอรมนี มีการปรับคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2020 ลงสู่ระดับ 1.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.5% แต่ก็ได้กล่าวย้ำว่าเศรษฐกิจของเยอรมนียังเติบโตได้ดีและไม่ได้กำลังเผชิญกับวิกฤตใดๆ


ภาพรวมค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา จากข่าวที่ยอดค้าปลีกอ่อนแอและดูจะสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อคืนนี้ จะเห็นได้ว่ายอดการก่อสร้างบ้านในสหรัฐฯร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบกว่า 12 ปีในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลภาคการผลิตประจำเขตฟิตลาเดเฟียก็ร่วงลงอย่างหนักในเดือนต.ค.นี้

· นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ระบุว่า เฟดกำลังดำเนินการศึกษาการดำเนินการงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ระบบธนาคาร และอาจมีการปรับนโยบายให้เหมาะสมตามความจำเป็น

· ประธานธนาคารกลางอิตาลี กล่าวว่า อียูจะต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบต่อการปรับลดดอกเบี้ย เพราะอาจสร้างความเสี่ยงในลักษณะของผลข้างเคียงได้

ขณะที่อีซีบีปรับลดดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไปในการประชุมเดือนที่แล้วบริเวณ -0.5% ก็ส่งผลให้ตลาดคาดหวังจะเห็นอีซีบีเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยลงต่อในอีกไม่กี่ข้างหน้าจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อ่อนแอ แต่ประธานาธนาคารกลางอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้กำหนดนโยบายการเงินของอีซีบี กลับมองว่ายิ่งใช้อัตราดอกเบี้ยระดับติดลบยิ่งส่งผลกระทบต่อบรรดาธนาคารกลาง และการหน้าปรับลดดอกเบี้ยอาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสำหรับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจได้

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Janus Henderson มีมุมมองว่า อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูในแบบ “Fairly hard Brexit” หรือเป็นภาวะ Brexit ที่ไม่ค่อยดีต่อเศรษฐกิจอังกฤษเท่าไหร่นัก

เนื่องจากข้อตกลง Brexit ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบัน ที่สามารถตกลงกันได้เมื่อวานนี้ เมื่อเทียบข้อตกลงฉบับก่อนที่ถูกปฏิเสธไปถึง 3 ครั้งของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนก่อน ถือว่าเป็นข้อตกลงที่จะทำให้ช่องว่างระหว่างอังกฤษและอียูกว้างยิ่งกว่าเดิม และยกกำแพงทางการค้าที่สูงยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าข้อตกลง Brexit ล่าสุดนี้จะได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาอังกฤษอย่างเพียงพอหรือไม่ ซึ่งการลงมติในสภาจะเกิดขึ้นภายในวันเสาร์ หากสามารถผ่อนการลงมติไปได้ ตลาดก็น่าจะมีการตอบรับในเชิงบวก แต่จะคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อนักลงทุนเริ่มตระหนักว่าข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก


นอกจากนี้ ทั้งกระทรวงเศรษฐกิจของอังกฤษ และนักวิเคราะห์ภายนอกส่วนใหญ่ต่างคาดการณ์กันว่า ข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่นี้จะทำให้กำแพงทางการค้าสูงยิ่งขึ้น ซึ่งจะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษให้ชะลอตัวลงยิ่งกว่าการเลือกที่คงอยู่ในอียู


· บรรดาผู้นำประเทศในอียูให้การสนับสนุนข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่สามารถร่วมตกลงกันได้เมื่อวานนี้อย่างล้นหลาม ซึ่งนายบอริสได้ระบุว่า ตนพึงพอใจกับข้อตกลงดังกล่าว รวมถึงทางด้านนายไมเคิล บาร์เนียร์ ตัวแทนเจรจา Brexit ของอียู และนายโดนัลด์ ทัคส์ ประธานคณะกรรมธิการอียู ที่กล่าวแสดงความพึงพอใจต่อข้อตกลงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการลงมติในรัฐสภาอังกฤษที่น่าจะเกิดขึ้นภายในวันเสาร์นี้ ขณะที่นายบอริส แสดงความเชื่อมั่นว่าข้อตกลงจะสามารถผ่านการลงมติไปได้

· นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งอังกฤษ ระบุว่า มีโอกาส “ค่อนข้างดี” ที่ข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่จะสามารถผ่านการลงมติในรัฐสภาอังกฤษวันเสาร์นี้ไปได้ และอังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าตามกำหนดการเดิม

ทั้งนี้ แม้จะไม่มีมาตรการใดที่จะมาช่วยรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นที่จะเกิดจากการถอนตัว แต่ทางรัฐสภาก็น่าจะตระหนักกันดีว่า หากข้อตกลงดังกล่าวผ่านการลงมติไปได้ จะช่วยลดความผันผวนของตลาดที่เกิดจากความไม่แน่นอนของ Brexit ตั้งแต่ปี 2016 ลงไปได้

· นายเกา เฟง โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวย้ำว่า จีนต้องการให้สหรัฐฯถอนการขึ้นภาษีระหว่างกัน เพื่อให้สามารถเดินหน้าบรรลุข้อตกลงฉบับสุดท้ายหรือ Final Deal ได้ ซึ่งจุดยืนของจีนและเป้าหมายของจีน คือการบรรลุผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อยุติสงครามครามการค้า และการยกเลิกการปรับขึ้นภาษีระหว่างกันทั้งหมด ซึ่งจะถือเป็นเรื่องดีสำหรับจีนเอง รวมทั้งเป็นผลดีกับประเทศสหรัฐฯ รวมไปถึงระดับโลกด้วย

· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า จีนถูกคาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบกว่า 27 ปีครึ่ง จากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของผลสะท้อน Trade War ระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยจะเห็นได้จากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเมื่อไม่กี่เดือนล่าสุดนี้ที่เป็นตัวเน้นย้ำถึงอุปสงค์ภายในประเทศและต่างประเทศที่อ่อนแอลง จึงทำให้เกิดคาดการณ์ที่ว่าจีนอาจจำเป็นต้องหามาตรการใหม่เพื่อมาสนับสนุนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอาจผลักดันการอ่อนตัวของภาคแรงงานด้วย

ผลสำรวจล่าสุดจากนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์สส่วนใหญ่ คาดจะเห็นจีดีพีจีนเติบโตแตะ 6.1% ในช่วงก.ค. - ก.ย. เมื่อเที่ยบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราการชะลอตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 1992 ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของปี 2019 ตลอดทั้งปีคาดเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ด้วยอัตราที่ชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 30 ปี ที่ระดับ 6.2%

· ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นประมาณ 1% โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และรายงานที่ระบุว่า อังกฤษและอียูเห็นชอบต่อข้อตกลง Brexit ที่นำเสนอล่าสุด ขณะเดียวกันข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรมก็สะท้อนถึงภาวะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯมีการปรับตัวสูงขึ้นเกินคาด

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 52 เซนต์ ที่ระดับ 59.94 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ +1.2% ที่ระดับ 53.99 เหรียญ/บาร์เรล

กระทรวงพลังงานสหรัฐฯหรือ EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นเกินคาดกว่า 9.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 434.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเห็นสต็อกน้ำมันดิบปรับขึ้นประมาณ 2.8 ล้านนบาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com