• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2562

    25 ตุลาคม 2562 | Economic News


· ค่าเงินปอนด์ดิ่งลง 0.575% ที่ระดับ 1.285 ดอลลาร์/ปอนด์ จากการที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ โดยในช่วงแรกหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอย่างนายเจเรมี คอร์บลิน กล่าวว่าเขาต้องการให้รัฐสภาอนุมัติเวลาเพิ่มสำหรับการหาข้อตกลง Brexit แต่ดูเหมือนบรรดาส.ส.ทั่วไปจะต้องการสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธ.ค.มากกว่า

อย่างไรก็ดี แม้ Brexit จะมีความไม่แน่นอนอยู่และกดดันต่อค่าเงินปอนด์ แต่โอกาสที่อังกฤษจะออกจากอียูแบบ No-Deal ในเดือนนี้ที่ลดน้อยลงก็ได้ช่วยหนุนเงินปอนด์ในเดือนนี้ และภาพรวมเดือนนี้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นได้เกือบ 5%


ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.16% ที่ระดับ 97.65 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.21% ที่ระดับ 1.111 ดอลลาร์/ยูโร แม้ว่าจะมีสัญญาณบวกจากการแถลงครั้งสุดท้ายหลังเสร็จสิ้นการประชุมของนายมาริโอ ดรากี้ ในฐานะประธานอีซีบี แต่ค่าเงินยูโรก็อ่อนค่าลงจากข้อมูลผลสำรวจภาคธุรกิจยูโรโซนที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ


· เมื่อวานนี้อีซีบียังมีมติคงอัตราดอกเบี้ย และคงสัญญาณชี้นำไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมระบุถึงการจะใช้ระดับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันหรือดอกเบี้ยติดลบจนก่วาจะมีหลักฐานบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อ


ทั้งนี้ นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี กล่าวว่า แม้ข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศออกมามีการขยายตัวในระดับปานกลาง แต่ก็มีสัญญาณบวกของการขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนี้ยังระบุถึงความอ่อนแอของการค้าต่างประเทศกำลังเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมภาคการผลิตในแถบยุโรป ควบคู่กับภาคการลงทุน


ขณะที่อีซีบีคาดการณ์จีดีพีปีนี้ไว้ที่ 1.1% และ 1.2% ในปีหน้า ทางด้านเงินเฟ้อมองปีนี้ขยายตัวได้ 1.2% และปีหน้าเพิ่มขึ้นได้ที่ 1% โดยภาพรวมเงินเฟ้อจะยังอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ที่กำหนดไว้


อย่างไรก็ดี การปรับลดดอกเบี้ยของอีซีบีมีขึ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจจากปัญหาข้อขัดแย้งการค้าระดับโลก, ความอ่อนแอของภาคธุรกิจ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอื่นๆ รวมไปถึงปัญหา Brexit


· รายงานจาก The Guardian ระบุว่า นายดรากี้ยังได้กล่าวเตือนถึงภาวการณ์ชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของ Brexit ที่จะสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเยอรมนีที่ดูจะยังมีสัญญาณการเข้าสู่ภาวะถดถอย

· รายงานจากรอยเตอร์ส เผยว่า นายดรากี้ มีการกล่าวทิ้งท้ายให้แก่ผู้รับช่วงตำแหน่งประธานอีซีบีคนต่อไปว่าอย่ายอมแพ้ต่อการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนที่เผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก และได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงเล็กน้อย โดยที่นายดรากี้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ขณะที่นางคริสติน ลาการ์ดจะมารับช่วงต่อในวันที่ 1 พ.ย.

· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เพื่อให้ผู้ลงคะแนนเสียงมีโอกาสแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษออกจากยุโรปผ่านคูหาเลือกตั้งแทน

อย่างไรก็ดี นายกฯอังกฤษต้องการเสียงสนับสนุนจาก 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งใหม่ขึ้นได้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าเขามีเสียงสนับสนุนดังกล่าวเพียงพอหรือไม่

· รายงานจาก Reuters กล่าวว่า บรรดาผู้นำอียูจะทำการหารือกันในวันนี้เกี่ยวกับการขยายเวลา Brexit ออกไปเป็นเวลา 3 เดือน หรือการลดหลั่นลำดับขั้นลงมา แต่ก็กล่าวเตือนในเวลาเดียวกันว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจจะยังไม่เปิดเผยในเวลานี้

· Goldman Sachs กล่าว่า เฟดมีแนวโน้มจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า และอาจเห็นการปรับการส่งสัญญาณอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับวงจรการผ่อนคลายทางการเงิน ณ ปัจจุบันที่อาจสิ้นสุดลงได้ โดยภาพรวมคาดจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จากระดับ 1.75% สู่ระดับ 1.5% ในช่วงการประชุม 29-30 ต.ค.นี้ ซึ่งมีโอกาสมากถึง 95%

· เฟดสาขานิวยอร์กให้การสนับสนุนการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร โดยเริ่มอัดฉีดเข้าระบบการจัดการรายวันที่ 1.2 แสนล้านเหรียญ โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 7.5 หมื่นล้านเหรียญ ทำให้การจัดการระบบ Repo ระหว่างวันที่ 24 ต.ค. และ 29 ต.ค. จะมีการเพิ่มขึ้น 4.5 หมื่นล้านเหรียญ จาก 3.5 หมื่นล้านเหรียญ

· รายงานผลสำรวจจาก J.P.Morgan กล่าวว่า ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกสะท้อนถึงความกังวลต่อภาวะเศษฐกิจโลกถดถอยอันได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ที่ดูจะเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ต่อภาคบริษัทในอีก 6 – 12 เดือนข้างหน้า โดยจากผลสำรวจสะท้อนว่าบรรดาภาคบริษัททั่วโลกกว่า 130 แห่ง รู้สึกได้ถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกมีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และจะสร้างความเสี่ยงครั้งใหญ่ให้แก่บริษัทของพวกเขา

· นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธถึงการที่สหรัฐฯกำลังหาวิธีแตกแยกกับจีน แม้ว่าจะมีหลายเหตุการณ์ท้าทายที่สหรัฐฯและจีนเผชิญในแง่ของความสัมพันธ์ต่างๆ แต่สหรัฐฯก็ไม่ได้ต้องหาทางเผชิญหน้ากับจีน และสหรัฐฯไม่ได้พยายามที่จะหยุดยั้งการพัฒนาใดๆของจีน

· รายงานจาก BoK สะท้อนว่า เงินเฟ้อเกาหลีใต้ออกมาแย่กว่าที่คาดทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนต.ค. ที่ระดับ 1.7% จาก 1.8% หรือถือเป็นการอ่อนตัวลงติดต่อกันในช่วง 3 เดือน เพราะได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการอ่อนตัวในการเติบโตของดัชนีราคาผู้บริโภค


อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดถือเป็นการปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ที่เริ่มเก็บข้อมูลในเดือนก.พ. ปี 2002 และเป็นการอ่อนตัวลงช่วง 3 เดือนที่ยาวนานที่สุดในรอบกว่า 6 ปี

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 61 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ลดลงอย่างน่าประหลาดใจ รวมทั้งการที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกเตรียมปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบมากกว่าข้อตกลงเดิม ซึ่งอยู่ที่ราว 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันดิบในปี 2020 โดยจะทำการประชุมเพื่อหารือถึงปริมาณการผลิตใหม่ในการประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 5-6 ธ.ค. 2020

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ ที่ระดับ 61.74 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ ที่ระดับ 56.23 เหรียญ/บาร์เรล โดยช่วงก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นไป 2.8% หลังจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับลดราว 1.7 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com