· ความหวังว่าจะเห็นความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลายลง ได้ช่วยหนุนค่าเงินในตลาดเอเชียวันนี้ แต่ตลาดบางส่วนยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง ก่อนทราบผลการประชุมเฟดที่ถูกคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ย จึงช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ได้บ้าง
การฟื้นตัวของค่าเงินในตลาดเอเชียเป็นไปอย่างจำกัด โดยค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ต่างแข็งค่าขึ้น 0.3% ขณะที่ Safe-haven อย่างเงินเยนและสวิสฟรังก์อ่อนค่าลงเล็กน้อย
ด้านค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรอ่อนค่าเล็กน้อยแถว 1.1090 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 97.813 จุด
ด้านค่าเงินปอนด์อ่อนค่าเล็กน้อยแถว 1.2855 ดอลลาร์/ปอนด์ ท่ามกลางภาวะ Brexit ที่ยังไร้ความชัดเจน
· รัฐสภาอังกฤษลงมติปฏิเสธข้อเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค. ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
โดยการลงมติจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 จากทั้งรัฐสภา หรือ 434 เสียง แต่การลงมติข้อเรียกร้องดังกล่างกลับมีเสียงสนับสนุนเพียง 299 เสียงเท่านั้น
ขณะที่นายบอริส ระบุว่าตนจะพยายามผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งอีกครั้งภายในวันอังคารนี้ โดยจะใช้ทางเลือกอื่นแทน
· รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสิงคโปร์ ระบุว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในเร็วๆนี้ แม้ว่าจะเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้าในระดับโลกก็ตาม
เศรษฐกิจสิงคโปร์ ที่ถูกเปรียบเสมือนมาตรชี้วัดการเติบโตของเศรษฐกิจโลก สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยไปได้ในไตรมาสที่ 3/2019 โดยเศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.6% จากไตรมาสก่อน แต่ในภาพรวมรายปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.1% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้
· ธนาคารกลางแคนาดา มีแนวโน้มที่จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธนี้ ซึ่งจะถือเป็นการประชุมครั้งแรกนับตั้งแต่ผ่านพ้นการเลือกตั้งไป และการประกาศน่าจะเกิดขึ้นในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แคนาดากำลังแข็งค่า เนื่องจากบรรดานักลงทุนกำลังให้ความสนใจไปยังค่าเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง
· คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ (FCC) มีแผนการที่จะลงมติเพื่อกำหนดให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ และบริษัท ZTE ของจีน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เพื่อห้ามมิให้ลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการในประเทศนำเงินอุดหนุนด้านการพัฒนาเครือข่าย 5G ของรัฐบาลวงเงิน 8.5 พันล้านเหรียญ ไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการจากบริษัททั้งสองแห่ง นอกจากนี้ FCC ยังมีแผนจะสั่งการผู้ให้บริการในประเทศเปลี่ยนและเลิกใช้อุปกรณ์จากทั้งสองบริษัทด้วย
โดยสื่อต่างประเทศรายงานว่า FCC กำลังเตรียมดำเนินการดังกล่าวในการประชุมซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการสอบถามถึงต้นทุนในการยกเลิกหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เป็นของบริษัทหัวเว่ยและ ZTE ที่ถูกใช้งานอยู่ในเครือข่าย มาเป็นอุปกรณ์ของผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อพิจารณาการจัดทำโครงการมอบเงินชดเชยการถอดอุปกรณ์ของทั้งสองบริษัทออกจากเครือข่ายต่อไป
· นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุว่า จะผลักดันให้สภาผู้แทนฯลงคะแนนเสียงในสัปดาห์นี้ เพื่อผลักดันให้การยื่นถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดำเนินสู่ขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการลงคะแนนดังกล่าว แต่มีรายงานว่าจะทำการลงคะแนนในวันพฤหัสบดีนี้
· ภาวะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน อาจเป็นปัจจัยที่กดดันโอกาสเกิดข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระหว่าง 16 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจีนเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งจะมีการประชุมสำคัญขึ้น ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ช่วงสัปดาห์นี้
บรรดาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พยายามเจรจาภายใต้ข้อตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) มาตั้งแต่ในปี 2012 แต่ยังคงไร้ความคืบหน้า เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างบรรดาประเทศสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นความกังวลของอินเดียว่าจะมีการนำเข้าสินค้าจากจีนที่มากเกินไป เป็นต้น นอกจากนี้ ในข้อตกลงดังกล่าวยังมีประเทศสมาชิกสำคัญอย่างออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ รวมอยู่ด้วย
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากเหล่านักลงทุนกำลังรอคอยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการน้ำมัน ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจได้เบาบางลงไปจากความหวังเเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.5% ที่ระดับ 61.27 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.7% ที่ะรดับ 55.41 จุด หลังจากร่วงลงไป 1.5% ในช่วงก่อนหน้านี้
โดยราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการลดลงของสต็อกน้ำมันสหรัฐฯและสัญญาณของการผ่อนคลายในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ ยังเป็นปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน แม้จะมีความคืบหน้าในเชิงบวกจากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนก็ตาม