· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร โดยดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแถว 97.468 จุด ก่อนทราบผลประชุมเฟดคืนนี้ที่เฟดถูกคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย ในขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงจากแนวโมที่อังกฤษจะจัดการเลือกตั้งในเดือนธ.ค.นี้
นักลงทุนจะจับตาบทสรุปว่าเฟดจะสิ้นสุดผลประชุมด้วยการตัดสินใจอย่างไร ซึ่งดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้งหากว่าเฟดส่งสัญญาณในเชิงจะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่ม
นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก TD Securities คาดว่า ท่าทีคุมเข้มของเฟดจะเป็นตัวที่ทำให้ดอลลาร์นั้นปรับแข็งค่ากลับมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นตลาดก็ยังคงรอมุมมองทิศทางเศรษฐกิจของเฟดในเดือนข้างหน้าต่อไปว่าจะมีการส่งสัญญาณในการดำเนินการอย่างไร และนั่นจะทำให้ดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินปอนด์และยูโรที่มีปัจจัยขับเคลื่อนคือ Brexit
· มุมมองเชิงบวกที่อังกฤษอาจสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากอียูแบบ No-Deal ก็ดูจะสนับสนุนให้ค่าเงินยูโรและเงินปอนด์แข็งค่าได้อีกครั้ง แต่เงินปอนด์ก็กลับมาอ่อนค่าลงอีกเมื่อวานนี้ อันเนื่องจากทางรัฐสภาอังกฤษลงมติรับรองกฎหมายที่การจัดเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธ.ค.นี้โดยค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.04% ที่ระดับ 1.2857 ดอลลาร์/ปอนด์
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า อังกฤษเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หลังจากที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติสนับสนุน 438 ต่อ 20 เสียงในการรับรองกฎหมายที่เปิดทางให้มีการจัดเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธ.ค.เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1923
ทั้งนี้ ร่างฏหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านการรับรองจากสภาขุนนางอังกฤษ แต่คาดว่าน่าจะผ่านการรับรองได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งหลังจากร่างกฎหมายผ่านแล้วจะส่งผลให้มีเวลาหาเสียงเลืกอตั้งเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์
สำหรับการจัดการเลือกตั้งจะมีพรรคให้ทางประชาชนเลือกระหว่าง พรรคของนายบอริส จอห์นสัน ที่ต้องการผลักดันข้อตกลงของเขา หรือจะเป็นพรรคแรงงานของนายเจเรมี คอร์บลิน ที่ต้องการให้กลับมาเจรจาข้อตกลงใหม่ก่อนจะลงประชามติอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งจะถูกประกาศในวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. ซึ่งหากผลการเลือกตั้งไม่เป็นเอกฉันท์ว่าฝ่ายใดได้รับชัยชนะ จะส่งผลให้ภาวะชะงักงันของ Brexit กลับมาดำเนินต่อไป
· จีนกล่าวเตือนสหรัฐฯและประเทศอื่นๆอีก 22 ประเทศภายใต้ความร่วมมือ UN ที่ต้องการให้จีนหยุดการควบคุมกลุ่มชนชาติอุยกูร์และมุสลิม พร้อมกล่าวเตือนว่าการกดดันดังกล่าวไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆ สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
· นายหวัง โชวเหวิน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนจะยกเลิกข้อจำกัดต่อนักลงทุนต่างชาติ และจะไม่มีการบังคับให้บริษัทต่างชาติทำการถ่ายโอนเทคโนโลยีแก่จีน
· เมื่อวานนี้ รัฐบาลจีนเผยถึงความพยายามในการผ่อนคลายธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาดำเนินการในจีน พเอให้เจ้าของธุรกิจจีนก็สามารถร่วมทำธุรกิจทั่วโลกได้
· สถาบัน Nomura ทำการดาวน์เกรดบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง ZTE ที่ดูจะได้รับผลกระทบเป็นการชั่วคราวทำให้เกิดสภาวะชะลอตัวด้านอุปสงค์ในการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ 5G ได้อย่างไม่เต็มรูปแบบ อันเนื่องมาจากความเสี่ยงของข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กระทบกับภาคเทคโนโลยี จึงทำให้หุ้นของบริษัท ZTE จากสถานะ “Buy” กลายมาเป็น “Nuetral”
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยถูกกดดันจากกระแสคาดการณ์สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนได้เบาบางลงไป
นักวิเคราะห์จาก Reuters คาดว่าปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯจะปรับเพิ่มขึ้นราว 700,000 บาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังปรับลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 433.2 ล้านบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า
ขณะที่ผู้อำนวยการตลาดพลังงานและความปลอดภัยที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ตลาดน้ำมันคาดว่าจะเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในปี 2020 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิต ท่ามกลางการเติบโตของอุปสงค์ที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 3 เซนต์ที่ระดับ 61.54 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 27 เซนต์ที่ระดับ 55.54 เหรียญ/บารืเรล