· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวในกรอบแคบๆโดยตลาดจับตาประเด็นเฟดลดดอกเบี้ยในการประชุมคืนนี้ ขณะที่เงินปอนด์ทรงตัวหลังสภาล่างขออังกฤษอนุมัติรับรองการเลือกตั้งในเดือนธ.ค.นี้ ท่ีอาจช่วยฝ่าภาวะชะงักงัน Brexit ไปได้ โดยเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2865 ดอลลาร์/ปอนด์
ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1110 ดอลลาร์/ยูโร ด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.698 จุด ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยการตัดสินใจเรื่องปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
ด้านค่าเงินเยนขยับเล็กน้อยมายัง 108.84 เยน/ดอลลาร์ ภาพรวมยังคงไม่ห่างจากระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 3 เดือนที่ 109.07 เยน/ดอลลาร์
· เฟดถูกคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมวาระนี้ หลังจากที่หั่นดอกเบี้ยลงในเดือนก.ค. และก.ย. ไปครั้งละ 0.25% โดยครั้งนี้ก็ถูกคาดว่าจะหั่นดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สู่กรอบ 1.50 - 1.75% ขณะเดียวกันผลสำรวจ Reuters ก็คาดว่า น่าจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้าสู่กรอบ 1.25 - 1.50% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนโยบายดอกเบี้ยใดๆในช่วงที่เหลือของปี 2020
· นักลงทุนกำลังรอคอยสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะมีแนวโน้มเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยอย่างไร หลังจากที่หลายฝ่ายมีการคาดการณ์ว่าจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยในปีหน้าหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ก็น่าจะเห็นดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง
· ด้านค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นจากกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยผลการประชุมเฟด และความชัดเจนในเรื่องการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังดำเนินไป โดยค่าเงินหยวนแข็งค่ามาบริเวณ 7.0650 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่ช่วงต้นตลาดธนาคารกลางจีน (PBCO) กำหนดค่ากลางเงินหยวนไว้แตะระดับแข็งค่าสุดรอบ 2 เดือนที่ 7.0582 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าจากเมื่อวานประมาณ 35 ปิปส์
· นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank มีมุมมองว่า เป็นที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วเฟดจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมคืนนี้ แต่สิ่งที่ตลาดจะจับตาดู คือถ้อยคำที่เฟดจะใช้สื่อสารกับตลาด
โดยทาง Deutsche Bank มีมุมมองว่า ยังเร็วเกินไปที่เฟดจะประกาศสิ้นสุดวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงรออยู่ในอนาคต โดยเฟดอาจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในคืนนี้ พร้อมระบุว่าจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปออกไปก่อน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ รวมถึงเพื่อประเมินทิศทางของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่การประชุมเฟดคืนนี้ เฟดจะประกาศหยุดการปรับพอร์ตงบดุล เนื่องจากเฟดอาจประสบความสำเร็จในการลดพอร์ตงบดุลตามที่ได้ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว
· ผลสำรวจของ CNBC Fed Survey ระบุว่า 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ ผู้จัดการกองทุน และนักกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ พบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากผลกระทบของของภาษีนำเข้า ทั้งนี้ นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญ คาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในปีนี้ อยู่ที่ 1.75% ลดลงจากระดับ 2.9% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 2% ในอีกสองปีข้างหน้า
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า 34% ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดการณ์ว่า สหรัฐฯจะเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสูดนับตั้งแต่ปี 2011 ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายกีดกันการค้าและความอ่อนของเศรษฐกิจโลก
· การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3/2019 มีแนวโน้มจะชะลอตัวลง ท่ามกลางแรงกดดันจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวในระดับปานกลาง และการลงทุนในภาคธุรกิจที่ชะลอตัวลง จึงอาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมคืนนี้
โดยอัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะประกาศออกมาที่ 1.6% สำหรับไตรมาสที่ 3/2019 เทียบกับไตรมาสที่ 2/2019 ที่ขยายตัวได้ 2.0%
· การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อ้างว่าจีนตกลงจะเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯด้วยปริมาณที่มากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในความคืบหน้าของการเจรจาการค้า อย่างไรก็ตาม จากการที่สำนักข่าว Reuters ได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่จีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจรจา พบว่า ความจริงแล้ว ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯให้จีนเข้าซื้อสินค้าการเกษตร ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้การเจรจายืดเยื้อ
นายทรัมป์ได้ระบุว่า จีนสามารถเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ หรือมากกว่ามูลค่าการเข้าซื้อเมื่อปีก่อนเป็นเท่าตัว ซึ่งทางจีนก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบรับข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยระบุว่า หากจีนตกลงเข้าซื้อสินค้าเป็นปริมาณที่มากขนาดนั้น และด้วยกรอบเวลาที่ค่อนข้างจำกัด จะเป็นการทำลายสมดุลของอุปสงค์-อุปทานในตลาดจีนเสียเอง
· นายจาง จุน เอกอัคราชทูตจีนประจำสหประชาชาติ (UN) เตือนว่า การที่สหรัฐฯวิจารณ์จีนเกี่ยวกับชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียงนั้น ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยคำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและเจ้าหน้าที่จาก 22 ประเทศได้ใช้เวที UN เพื่อผลักดันให้จีนยุติการจับกุมตัวชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียง
· หลังจากที่มีรายงานว่าอังกฤษกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งในเดือน ธ.ค. โพลสำรวจเบื้องต้นพบว่า พรรค Conservative Party ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะสามารถชิงเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างขาดลอย ตามกราฟด้านล่างนี้
· Moody’s Investors Service คาดว่า การที่รัฐบาลญี่ปุ่นปรับขึ้นภาษีการบริโภคเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคญี่ปุ่นเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2014 เนื่องจากรัฐบาลได้พยายามใช้มาตรการเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นปรับขึ้นภาษีการบริโภคสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 8% เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ประกาศขึ้นภาษีการบริโภคในเดือนเม.ย. 2557 สู่ระดับ 8% จากระดับ 5%
· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงให้ผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีใช้ปฏิบัติการโจมตีทางทหารในพื้นที่ตอนเหนือของซีเรีย ทั้งนี้ สภาผู้แทนฯมีมติด้วยคะแนนเสียง 403 ต่อ 16 โดยมีเพียงส.ส.พรรครีพับลิกัน 15 คน และส.ส.พรรคเดโมแครต 1 คนลงมติคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากความล่าช้าในการแก้ไขสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งส่งผลให้สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.1% ที่ระดับ 61.52 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.3% ที่ระดับ 55.39 เหรียญ/บาร์เรล