· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ปรับแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงการประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ ก่อนที่จะปรับอ่อนค่าลงหลังเฟดประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ พร้อมส่งสัญญาณจะชะลอจังหวะการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อๆไป
ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าทำระดับสูงสุดที่ 98.00 จุด ในช่วงระหว่างการประชุมเฟด ก่อนที่จะปรับลดลงหลังทราบผลประชุม โดยล่าสุดเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง 0.4% แถว 97.29 จุดซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์
ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.1% แถว 1.1165 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ 0.2% แถว 108.66 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลชิลีตัดสินใจยกเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APCE ในเดือน พ.ย. ที่ผู้นำสหรัฐฯและจีนถูกคาดว่าจะมาพบกันเพื่อลงนามในข้อตกลงการค้าเบื้องต้น
นักวิเคราะห์จาก JPMogan มีมุมมองว่า การที่ชิลีประกาศยกเลิกการประชุม ไม่ควรเป็นปัจจัยที่ทำให้การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนต้องล้มเหลวลง และหากทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจจริงที่จะทำข้อตกลงการค้า เชื่อว่าไม่นานนักพวกเค้าจะสามารถหาสถานที่จัดการประชุมครั้งใหม่ได้อย่างแน่นอน
· รายงานจากกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า ทีมเจรจาระดับของจีนและสหรัฐฯจะมีการเจรจาผ่านทางโทรศัพท์ภายในวันศุกร์
รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลชิลี ประกาศยกเลิกการจัดประชุม APEC ที่ถูกคาดหมายว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมาพบกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงค้าเฟสแรก
ทั้งนี้ ทางรัฐบาลจีนได้ยืนยันว่า ทั้งสหรัฐฯและจีนยังคงรักษาการสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด และการเจรจาในปัจจุบันก็กำลังดำเนินไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงจะผลักดันให้กำหนดการดำเนินงานต่างๆสามารถดำเนินไปได้ตามกำหนดการเดิม
· จีนรายงานดัชนีกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. ออกมาชะลอตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดยดัชนี PMI สำหรับภาคอุตสาหกรรมประกาศออกมาที่ระดับ 49.3 จุด เทียบกับเดือน ก.ย. ที่ระดับ 49.8 จุด ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 50 จุดที่บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม
· ประธานหอการค้าด้านการนำเข้าและส่งออกอาหารแห่งประเทศจีน มีความคิดเห็นว่า รัฐบาลจีนควรยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ ที่เคยประกาศขึ้นไว้เมื่อปีที่ก่อน เพื่อให้บรรดาผู้นำเข้าในประเทศสามารถเข้าซื้อสินค้าสหรัฐฯได้ง่ายขึ้น และเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ต้องการให้จีนเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญ
· CEO ของธนาคาร Barclays แนะนำให้บรรดาผู้ประกอบการทั่วโลก จับตาผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และกรณี Brexit เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ จะมีหัวใจสำคัญอยู่ที่เรื่องของห่วงโซ่อุปทาน หากสามารถวิเคราะห์ทิศทางของห่วงโซ่อุปทานได้ ก็จะสามารถรุ่งเรืองในธุรกิจ โดยไม่เกี่ยวว่าจะอาศัยอยู่ในประเทศใด
· การประชุมบีโอเจวันนี้ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต จึงยิ่งกดดันมุมมองของตลาดที่กังวลเกี่ยวกับกาชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ขณะที่ถ้อยแถลงของนายฮารุฮิโก คุโรดะ ประธานบีโอเจ ได้กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ระดับดอกเบี้ยจะถูกคงไว้ในระดับต่ำเป็นพิเศษไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2020 และยังมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลงอีกหากมีความจำเป็น ขณะที่มีมุมมองว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจกำลังขยายตัวมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศมากนัก
· ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ท่ามกลางกระแสคาดหวังว่าจะเห็นรัฐบาลจีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังการประกาศดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมออกมาน่าผิดหวัง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันหลังจากที่ปรับร่วงลงไปในช่วงตลาดก่อนหน้า จากตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาด
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.6% แถว 61.00 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ปรับลดลงไป 1.6% ในคืนที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.5% แถว 55.36 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ปรับลดลงไป 0.9% ในคืนที่ผ่านมา