• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562

    4 พฤศจิกายน 2562 | SET News

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดแดนบวก โดยภาพรวมดัชนี S&P500 ยังคงปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้มากถึง 3 วันทำการในรอบ 5 วันทำการ หลังทราบข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งข้อมูลการผลิตจีนที่ช่วยคลายกังวลต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก

ดัชนีดาวโจนส์ปิด +300.86 จุด หรือคิดเป็น -1.11% ที่ระดับ 27,347.09 จุด ทางด้าน S&P500 ปิด +0.97% ที่ 3,066.92 จุด และ Nasdaq ปิด +1.13% ที่ระดับ 8,386.4 จุด

ก่อนทราบรายงานจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ตลาดก็ดูจะมีแรงหนุนบางส่วนอันเนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตจีนในเดือนต.ค.ออกมาดีขึ้นแลช่วยความกังวลต่อภาวะชะลอตัวทางอุปสงค์ของสหรัฐฯ อันเนื่องจากกผลกระทบของ Trade War

ภารพรวมรายสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปิด +1.44% ขณะที่ S&P500 สัปดาห์ที่แล้วปิด +1.47% และ Nasdaq ปิดขึ้นกว่า 1.74%

ข่าวของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนดูจะเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญต่อตลาดหุ้น โดยสำนักข่าว Xinhua ของจีนรายงานว่า ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงหลักๆร่วมกันได้ ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงเฟสแรกดูเหมือนจะเป็นรูปเป็นร่างที่ดีขึ้น

· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นดีที่สุดในรอบสัปดาห์ โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +0.7% ขานรับข้อมูลจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯ และข้อมูลภาคการผลิตจีนที่ดีขึ้นจึงช่วยคลายความกังวลต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวสูงขึ้นในเช้าวันนี้จากมุมมองเชิงบวกของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยดัชนี Kospi เปิด +0.79% ทางด้าน ASX200 เปิด +0.3% และดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด +0.2%

ตลาดญี่ปุ่นปิดทำการในวันนี้

อย่างไรก็ดี กลุ่มนักลงทุนยังคงรอคอยและจับตาความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างใกล้ชิด

· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า เมื่อวานนี้ประเทศไทยในฐานะประธานวาระปัจจุบันของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า บรรดาชาติอาเซียนให้คำมั่นผูกพันที่จะลงนามใน “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” (RCEP) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า อันจะเป็นการรวมกลุ่มทางการค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าหลังจากที่อินเดียออกมาตั้งข้อเรียกร้องใหม่ๆ ได้ทำให้การทำข้อตกลงฉบับนี้ซึ่งได้รับการหนุนหลังอย่างแข็งขันจากจีน ต้องมีอันสะดุดไม่สามารถสรุปร่างสุดท้ายกันในภายในปีนี้ได้

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นักบริหารเงิน คาดว่า ช่วงต้นสัปดาห์นี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.10 - 30.20 บาท/ดอลลาร์

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 1.50% เหลือ 1.25% ในการประชุมรอบนี้วันที่ 6 พ.ย.เนื่องจากพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ยังบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอลงเทียบกับช่วงการประชุมนโยบายการเงินในครั้งก่อน

- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ในการประชุมวันที่ 6 พ.ย.62 แต่อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งที่ 25 bps ในการประชุมเดือน ธ.ค.เป็นต้นไป

- นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวในระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของอาเซียนและประเทศไทยไม่ได้ใช้คำว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นเศรษฐกิจเติบโตช้าลงในปีหน้าและปีต่อไป ซึ่งไทยจะต้องหามาตรการมาช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหลายมาตรการด้วยกัน รวมถึงเรื่องการใช้จ่ายภายในประเทศ และมาตรการการเงินการคลัง ที่ต้องเอื้ออำนวยให้เกิดการใช้จ่ายการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนนำเงินออกมาลงทุน ตลอดจนสร้างสภาวะแวดล้อม ความมีเอกภาพและเสถียรภาพ ให้เอื้ออำนวย เพื่อประโยชน์ต่อการลงทุนทั้งหมด

- เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทย (บีโอไอ) เผยภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.62) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,165 โครงการ เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,048โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 314,130 ล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปี 2561 มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนต.ค.62 อยู่ที่ระดับ 48.1 ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า แต่องค์ประกอบเกือบทุกด้านยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่แย่ลง

- บริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของญี่ปุ่นได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Issuer CreditRating) จากระดับ BBB+ เป็น A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับเสถียรภาพ (StableOutlook)

-ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจไทยมีมติเห็นชอบในหลักการกรอบแนวทางการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมครบวงจร รวม

7 ด้าน 13 มาตรการ (มาตรการ MSME 2020) ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอ เพื่อสนับสนุน SME รายย่อย และแก้ 5 ปัญหาสำคัญของ SME ทั้งปัญหาแหล่งเงินทุน ความรู้/ทักษะ/การบริหาร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และฟื้นฟูกิจการ

- ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ไทย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ต.ค.62 สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.11% เป็นการสูงขึ้นในลักษณะชะลอตัวมากสุดในรอบ 28 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.60 โดยปัจจัยสำคัญของการชะลอตัวมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาพลังงานเป็นหลัก ซึ่งราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลงถึง 11.57% ถือเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ต่ำสุดในรอบ 43 เดือน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com