· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในคืนวันศุกร์ หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจแสดงข้อมูลที่ผสมผสานกันสำหรับมุมมองทางเศรษฐกิจ และมุมมองเชิงบวกของการที่สหรัฐฯและจีนน่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติ Trade War จึงทำให้เกิดการลดการถือครองดอลลาร์ใน Safe-Haven
ด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.12% ที่ระดับ 97.24 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดขึ้นไปแตะ 97.45 จุด
ค่าเงินยูโรเริ่มต้นสัปดาห์ที่ระดับ 1.1168 ดอลลาร์/ยูโร โดยภาพรวมมีแนวโน้มจะทดสอบสูงสุดแนว 1.1179 ดอลลาร์/ยูโร รวมทั้งเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วันบริเวณ 1.1195 ดอลลาร์/ยูโรได้
ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นมาแตะ 108.22 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่วันศุกร์ทำระดับแข็งค่ามากที่สุดบริเวณ 107.87 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์ทรงตัวได้ทีแนว 1.2931 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่สามารถฟื้นตัวจากแถว 1.2200 ดอลลาร์/ปอนด์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังภาวะ Hard Brexit ที่ดูเหมือน ณ ขณะนี้จะส่งสัญญาณเลือกตั้งเพื่อเป็นการชี้ทิศทางต่อไป
· เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า การเจรจาข้อตกลงการค้ากับทางจีนเป็นไปด้วยดี จึงยิ่งตอกย้ำถึงทิศทางความคืบหน้าของข้อตกลงในขั้นแรก พร้อมกันนี้ยังระบุถึงการลงนามข้อตกลงกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนที่จะเกิดขึ้นภายในประเทศสหรัฐฯ โดยคาดอาจจะเป็นรัฐไอโอวา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับการท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยที่ 2 ของเขาในปี 2020
นอกจากนี้ นายทรัมป์ ยังระบุว่า ทางการจีนต้องการข้อตกลงกับสหรัฐฯอย่างมาก และนายทรัมป์เองไม่ต้องการพูดถึงข้อตกลงใดๆ จนกว่าข้อตกลงนั้นจะเกิดขึ้น เพียงแต่ว่า ณ ขณะนี้มีควาคืบหน้าเป็นอย่างมาก
· นายปีเตอร์ นาวาโร ที่ปรึกษาด้านการค้าประจำทำเนียบขาว เผยว่า สหรัฐฯและจีนเข้าใกล้ข้อตกลงการค้าในส่วนแรกด้วยดี แต่ทั้งสองฝ่ายก็จำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงอีก 2 เฟส ที่อาจจำเป็นและครอบคลุมต่อโครงสร้างทางธุรกิจทั้งหมดของจีน
· นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกน่าจะเกิดขึ้นและร่วมลงนามได้ภายในช่วงกลางเดือนนี้ ขณะที่ใบอนุญาตแก่บริษัทสหรัฐฯในการขายอุปกรณ์หรือสินค้าแก่บริษัท Huawei ก็กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ พร้อมกันนี้ยังแสดงความคาดหวังถึงการที่สหรัฐฯจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับทางการจีนในเดือนนี้ด้วย เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศอยู่ในทิศทางที่ดี และมีความคืบหน้ามากขึ้น
· ผลการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่าอ่อนตัวลงในเดือนต.ค.บางส่วนจากเหตุประท้วงของบริษัท General Motors จึงบดบังข้อมูลการจ้างงานในช่วง 2 เดือนก่อนที่มีการปรับทบทวนของข้อมูลในเดือนก่อนหน้าที่ดูจะได้รับอานิสงส์จากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นปัจจัยสนับบสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ยังเผยข้อมูลอัตราการว่างงานที่ปรับตัวลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 50 ปี บริเวณ 3.5% ในเดือนที่แล้ว จึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อความเชื่อมั่นในตลาดแรงงาน
· รายงานจากรอยเตอร์ส สะท้อนว่า บรรดาธนาคารกลางต่างๆกำลังลดการใช้มาตรการปรับลดดอกเบี้ยและมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอื่นๆ โดยดูเหมือนธนาคารกลางจะมีการปรับนโยบายมาเป็น Wait-and-See มากขึ้น ซึ่งการจะดำเนินการใดๆเพิ่มเติมจะขึ้นอยู่กับการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจโลกในเดือนนี้และเดือนหน้าประกอบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเฟด, อีซีบี และบีโอเจ
· สหรัฐฯแสดงท่าทีผิดหวังต่อการที่ WTO ตัดสินใจให้จีนสามารถเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯมูลค่า 3.579 พันล้านเหรียญเพื่อเป็นบทลงโทษที่สหรัฐฯล้มเหลวในการยกเลิกกฎหมายต่อต้านการทุ่มตลาดซึ่ง WTO ตัดสินว่าผิดกฎหมาย
· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เผยว่า จีนกำลังให้การสนับสนุนตลาดการเงินเซี่ยงไฮ้ภายใต้โครงการ Belt and Road Initative เพื่อให้มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นสากลมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่ภาคอุตสาหกรรม
· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถูกตอบโต้ด้วยความโมโหจากนายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรค Brexit หลังจากนายบอริสปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายฟาราจให้ยกเลิกข้อตกลง Brexit ของเขา และผลักดันให้อังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบปราศจากข้อตกลง
โดยนายบอริสได้กล่าวแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถผลักดันให้ Brexit ดำเนินไปตามกำหนดการเดิมเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ยืนยันว่าหนทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับอังกฤษคือการใช้ข้อตกลง Brexit ของเขา
ทางด้านนายฟาราจ หลังจากเกิดการปะทะทางวาจากับนายบอริส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งในเดือน ธ.ค. แต่เขาจะดำเนินนโยบายต่อต้านนายบอริส เพื่อให้ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่า การดำเนินนโยบาย Brexit ของรัฐบาลจะเป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุด
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้นายบอริสและนายฟาราจหาจุดยืนร่วมกัน เพื่อทำให้ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-อังกฤษหลังจากอังกฤษถอนตัวออกจากอียูยังสามารถเกิดขึ้นได้ และยังระบุว่าอีกว่า ในมุมมองของเขาเชื่อว่านายบอริสเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับช่วงเวลานี้แล้ว
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นเกือบ 4% ท่ามกลางความคืบหน้าของการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจในกลุ่มภาคแรงงานสหรัฐฯและภากคารผลิตจีนที่ออกมาแข็งแกร่ง แต่การปรับขึ้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับแรงสูญเสียในช่วงต้นสัปดาห์
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 2.12 เหรียญ หรือ +3.6% ที่ระดับ 61.74 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน WTI ปิดปรับขึ้น 2.02 เหรียญ หรือ +3.73% ที่ระดับ 56.20 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดปรับตัวลงในช่วงต้นตลาดหลังจากที่สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในรัฐคุชชิง และรัฐโอกลาโฮมา ที่ถือเป็นหัวใจหลักของแหล่งน้ำมันสำหรับ WTI ขณะที่ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการขยายตัวสำหรับอุปสงค์น้ำมัน
· เกิดเหตุทำร้ายร่างกายขึ้น ณ City Plaza ในย่านไทกู๋ ของเกาะฮ่องกง โดยมีคนใช้มีดทำร้ายคนที่ศูนย์การค้าดังกล่าวที่มีกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงรวมตัวกันอยู่ โดยหนึ่งในผู้บาดเจ็บถูกกัดหูข้างหนึ่งจนเนื้อบริเวณหูขาดออกบางส่วน