· ค่าเงินยูโรทรงตัวใกล้ระดับสูงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ในขณะที่ตลาดกำลังรอถ้อยแถลงของนางคริสติน ลาร์การ์ด ประธานอีซีบีคนใหม่ ที่มีกำหนดจะขึ้นกล่าวในคืนนี้
ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1170 ดอลลาร์/ยูโร และดูมีแนวโน้มที่จะปรับแข็งค่าต่อ โดยมีแนวต้านที่ระดับ 1.1179 ดอลลาร์/ยูโรที่เป็นระดับสูงสุดของเดือน ต.ค. และระดับ 1.1195 ดอลลาร์/ยูโร ที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน
ด้านดัชนีดอลลาร์ ทรงตัวแถว 97.193 จุด ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน 97.107 จุด และมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าต่อลงไปถึงระดับ 97.033 จุด ที่เป็นระดับต่ำสุดของเดือน ส.ค.
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 108.23 เยน/ดอลลาร์ ขึ้นมาจากระดับต่ำสุดของวันศุกร์ที่ 107.87 จุด ขณะที่การซื้อขายค่อนข้างเบาบางเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดประจำชาติของญี่ปุ่น
ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยแถว 1.2939 ดอลลาร์/ปอนด์ ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 1.2200 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังนักลงทุนเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับโอกาสภาวะ Hard Brexit หลังอังกฤษตกลงที่จะจัดเลือกตั้งขึ้นในเดือน ธ.ค.
นักวิเคราะห์จาก ACLS Global มีมุมมองว่า บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกต่างหันมาใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่ำลง ซึ่งหมายความว่าตลาดการเงินจะมีความผันผวนที่ลดน้อยลง และเมื่อความผันผวนในตลาดลดลง โอกาสที่จะเห็นธนาคารกลางเปลี่ยนแปลงนโยบายอีกครั้งก็จะน้อยลง แต่ค่าเงินอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์ มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอีก เนื่องจากธนาคารกลางของค่าเงินเหล่านี้มีการใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงในช่วงก่อนหน้านี้
· นายวิลบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า ไทยยังคงมีเวลาสำหรับการเจรจาเกี่ยวกับการยกเลิกโปรแกรม GSP ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือน เม.ย.
· รายงานจากรัฐบาลไทยระบุว่า บรรดาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงตั้งเป้าหมายที่จะร่วมลงนามในข้อตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) ที่เป็นข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในรอบโลกภายในปี 2020 โดยการเจรจาภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่จัดขึ้นโดยมีไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากทางอินเดียยังต้องการที่จะขยายการเจรจาออกไปก่อน
· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า เมื่อวานนี้ประเทศไทยในฐานะประธานวาระปัจจุบันของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า บรรดาชาติอาเซียนให้คำมั่นผูกพันที่จะลงนามใน “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” (RCEP) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า อันจะเป็นการรวมกลุ่มทางการค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าหลังจากที่อินเดียออกมาตั้งข้อเรียกร้องใหม่ๆ ได้ทำให้การทำข้อตกลงฉบับนี้ซึ่งได้รับการหนุนหลังอย่างแข็งขันจากจีน ต้องมีอันสะดุดไม่สามารถสรุปร่างสุดท้ายกันในภายในปีนี้ได้
โฆษกประจำรัฐบาลไทยระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ข้อตกลง RCEP จะทำการลงนามภายในเดือน ก.พ. ปี 2020 แต่ทางประธานสมาคมอาเซียนระบุเพียงแค่ว่าตั้งเป้าจะลงนามภายในปี 2020
· รายงาน J.P. Morgan ตรวจสอบพบว่า มีเม็ดเงินการลงทุนไหลเข้าสู่สิงคโปร์เป็นปริมาณที่สูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบจากการประท้วงในฮ่องกงที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้บรรดาธนาคารและนักบริหารเงินต่างโยกย้ายสินทรัพย์เข้าสู่สิงคโปร์ที่ถูกเปรียบเป็นคู่แข่งของฮ่องกงในบทบาทของศูนย์กลางทางการเงินแห่งเอเชีย
ขณะที่รายงานของ Goldman Sachs ได้เคยประเมินไว้ว่า ฮ่องกงอาจสูญเสียเม็ดเงินลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญให้กับสิงคโปร์
· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น พบปะหารือกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน นอกรอบการประชุมอาเซียนที่กรุงเทพฯในวันนี้
โดยคาดว่านายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศจะหารือถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเยือนญี่ปุ่นของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ ในระหว่างนอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ที่กรุงเทพฯ ทั้งสองท่านได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นระดับภูมิภาค เช่น การพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
· รายงานจากโฆษกประจำกระทรวงต่างประเทศของจีน ระบุว่านายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบสหรัฐฯ มีการสื่อสารร่วมกันอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ เกี่ยวกับการจัดสถานที่ที่ทั้ง 2 ผู้นำจะมาพบกันอีกครั้ง
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า กรณี Brexit อาจไม่เพียงพอต่อการให้ความสนใจของประชาชนสำหรับการเลือกตั้งอย่างกระทันหันในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ อันเนื่องจากอยู่ในช่วงเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นและเป็นช่วงที่อากาศดูจะเลวร้ายที่สุดของปีจนถึงช่วงคริสต์มาส และสภาพอากาศดูจะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่ถือเป็นวิกฤตทางการเมืองในเวลานี้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจมากหากจะเห็นหนังสือพิมพ์อังกฤษมีความกังวลหรือมีความกลัวต่อสภาพอากาศในช่วงเลือกตั้งดังกล่าว
· นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระบุถึง การจะพบกันเพื่อเจรจาระดับสูงในการแก้ไขปัญหาทางการค้าและทางการเมืองกับ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีการหารือกันเประมาณ 11 นาที ควบคู่กับการประชุมอาเซียนที่จัดขึ้นที่กรุงเทพ โดยการหารือดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบทศวรรษ หลังจากที่เกาหลีใต้มีการแบนบริษัทญี่ปุ่นและทำให้เกิดสงครามด้านแรงงานขึ้นมา
· นักวิเคราะห์จาก Chatham House มีมุมมองว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอังกฤษ จะไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์ของ Brexit มีความชัดเจนขึ้นมาได้แต่อย่างใด เนื่องจากประชาชนอังกฤษยังมีความเห็นที่แตกแยกกันอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากอียู โดย 51.89% สนับสนุนให้ถอนตัว ขณะที่ 48.11 สนับสนุนให้คงอยู่ต่อ การเลือกตั้งที่กำลังจะเลือกตั้งจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นการเลือกตั้งที่คาดเดาได้ยากที่สุด
· ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงประมาณ 16 เซนต์ ที่ระดับ 61.53 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI อ่อนตัวลงมา 16 เซนต์เช่นกัน ที่ระดับ 56.04 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากเหล่าเทรดเดอร์ที่ทำการเทขายทำกำไรก่อนทราบข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯครั้งใหม่ ประกอบกับความคืบหน้าบางส่วนในการแก้ไขปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ที่เป็นสาเหตุในการส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก และอุปสงค์น้ำมัน
ในวันศุกร์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 2 เหรียญ/บาร์เรล จากความคืบหน้าของสงครามการค้า หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ เผยว่า การลงนามข้อตกลงอาจเกิดขึ้นได้ในเดือนนี้
นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า ในวันศุกร์เราจะเห็นได้ถึงการฟื้นตัวอย่างมากจากความกังวลที่ผ่อนคลายลงไปหลังข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีขึ้นเกินคาด และมีความคืบหน้าเชิงบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าจึงช่วยสนับสนุนราคาน้ำมัน และโดยทั่วไปน้ำมันถือเป็นสินค้าที่ต้องการมากสำหรับทุกคนจากทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงสำคัญอย่างสัปดาห์นี้
โดยที่ยุโรปและสหรัฐฯจะทำการประกาศข้อมูลภาคการผลิตในวันนี้ ควบคู่กับข้อมูลสำคัญของสหรัฐฯและจีนในช่วงปลายสัปดาห์นี้ที่ต้องจับตาต่อนั่นเอง