· ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 114.75 จุด หรือคิดเป็น +0.42% ที่ระดับ 27,462.11 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.37% ที่ 3,078.27 จุด และ Nasdaq ปิด +0.56% ที่ 8,433.2 จุด
ทั้งนี้ 3 ดัชนีหลักยังคงปรับตัวขึ้นปิดทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่องเมื่อวานนี้ จากความหวังที่เพิ่มขึ้นของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน โดยที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดทำระดับสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก.ค. แต่ดัชนี S&P500 และNasdaq ปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระดับประวัติการณ์ได้เป็นวันที่ 2
· มุมมองเชิงบวกของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน ดูเหมือนจะช่วยให้หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีเมื่อวานนี้ ท่ามกลางการประกาศรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้น Ryanair ที่ดูจะทำให้หุ้นบริษัทปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่ดัชนี Stoxx600 ปิด +1% ซึ่งเป็นการปิดสูงสุดนับตั้งแต่ม.ค. ปี 2018
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนบวกหลังหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยเช้านี้ดัชนีนิกเกอิเปิด +1.57% ในขณะที่ Topix เปิด +1.37% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.15% ทางด้าน ASX200 เปิดค่อนข้างทรงตัวเช่นเดียวกับดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่น
สำหรับวันนี้ ตลาดกำลังรอคอยการประกาศข้อมูลบริการของจีนในช่วงเช้าวันนี้
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวันนี้ไว้ระหว่าง 30.15 - 30.25 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดกำลังจับตารอผลการประชุมของ กนง. วันพรุ่งนี้
- รมว.คลังไทย เปิดเผยภายหลังการเข้าพบของผู้บริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่า ผู้บริหาร IMF ได้ร่วมหารือถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันของโลกและของไทย โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความท้าทายจากหลายปัจจัยทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, กรณีอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเห็นว่าไทยจำเป็นต้องดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ และดูแลใกล้ชิด และที่สำคัญ คือ ให้พิจารณาใช้ทุกเครื่องมือที่มีเพื่อดูแลเศรษฐกิจในช่วงนี้ให้ได้ ทั้งการเงินและการคลัง
- อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในระหว่างการเปิดประชุมสุดยอดอาเซียน+3 (จีน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) เช้าวานนี้ และแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าได้มีข้อสรุปการเจรจาที่ประชุมจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) แล้ว และมุ่งมั่นที่จะให้มีการลงนามร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกทั้ง 16 ประเทศในปี 63 ต่อไป