· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินสินทรัพย์ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนหรือสวิสฟรังก์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯที่ออกมาดีขึ้นในคืนวันศุกร์
ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงรอถ้อยแถลงของประธานอีซีบีคนใหม่ ประกอบกับข้อมูลภาคการผลิตเยอรมนียังคงมีทิศทางชะลอตัว ควบคู่กับข้อมูลภาคการผลิตยูโรโซนที่หดตัวลงในเดือนต.ค.
ขณะที่ นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวถึงการที่สหรัฐฯอาจไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้ารถยนต์ยุโรป หลังจากที่การเจรจาร่วมกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีเป็นไปในเชิงบวก ซึ่งการขึ้นภาษีรถยนต์ถูกเลื่อนออกไปอีก 6 เดือน แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญการค้าก็มองว่าประเด็นดังกล่าวก็อาจกลับสู่ตลาดได้อีก
ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 108.44 เยน/ดอลลาร์ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ระดับ 97.323 จุด หลังผ่านระดับเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 วันขึ้นมาแนว 97.303 จุด
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงการค้าเฟส 1 ของสหรัฐฯที่อาจร่วมลงนามกันได้ระหว่างสองผู้นำก็ดูจะทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าทำระดับสูงสุดรอบ 12 สัปดาห์ที่ 7.0225 หยวน/ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงเล็กน้อยมาที่ 1.2925 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยที่นักลงทุนยังคงรอคอยการเลือกตั้งในสภาวะที่ Hard Brexit ดูจะลดน้อยลงไป
· นางแมรี่ ดาร์ลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางกว่า 3 ครั้ง ดูจะหนุนนำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นและสามารถรับมือกับความเสี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก ในขณะที่บรรดาสมาชิกเฟดต่างเห็นพ้องกันว่าการปรับลดดอกเบี้ยนั้นค่อนข้างที่จะเห็นผล
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า แหล่งข่าวใกล้ชิด 3 ราย ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Politico โดยระบุว่า จีนกำลังผลักดันให้สหรัฐฯทำการถอดถอนมาตรการการเพิ่มภาษีในเดือนก.ย.ที่ผ่านมาก่อนที่จะลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างกัน โดยจีนต้องการให้สหรัฐฯยกเลิกการขึ้นภาษี 15% มูลค่า 1.12 แสนล้านเหรียญที่มีผลเมื่อ 1 ก.ย. ออกไป แต่ ณ ขณะนี้ ยังไม่ทราบผลการตัดสินใจใดๆของทางสหรัฐฯ
· ถ้อยแถลงของนางคริสติน ลาร์การ์ด ในฐานะประธานอีซีบีคนใหม่ เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ได้มีการกล่าวถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ในถ้อยแถลงเป็นการแสดงความประสงค์ของเธอในการทำงานร่วมกับทุกๆฝ่ายอย่างสุดความสามารถ
ทั้งนี้ แม้ถ้อยแถลงของเธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงิน แต่สัญญาณต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้ เชื่อว่าการดำเนินนโยบายการเงินของนางลาร์การ์ดจะไม่แตกต่างจากแนวทางเดิมมากนัก
· อียูเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเป็นมูลค่า 25% และ 10% ซึ่งทางอียูได้มีการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อ WTO และยกให้เป็นกรณีที่มีความสำคัญมากที่สุดกรณีหนึ่ง
นอกเหนือจากอียูแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆที่ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องในกรณีเดียวกันต่อ WTO ซึ่งได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย และตุรกี ขณะที่ทางแคนาดากับเม็กซิโกได้ยกฟ้องไปหลังจากที่พวกเขาได้มีการอัพเดทข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่ร่วมกับสหรัฐฯ
ทางด้าน WTO ได้ระบุว่า จะยังไม่เปิดเผยคำวินิวฉัยในกรณีดังกล่าวก่อนถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ซึ่งหมายความว่า ความคืบหน้าในรูปคดีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย. ปี 2020
· รายงานจากรัฐบาลอังกฤษระบุว่า บรรดาบริษัทและสถาบันทางการเงินของอังกฤษกว่า 300 องค์กรที่หันไปเปิดสาขาอยู่ในประเทศในกลุ่มอียูเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากกรณี Brexit จะถูกดำเนินการตรวจสอบโดยภาครัฐว่าบรรดาบริษัทเหล่านี้ได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้องหรือไม่
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯที่ดีขึ้นกว่าที่คาด และความคาดหวังของตลาดที่มากขึ้นต่อข้อตกลงขั้นต้นระหว่างสหรัฐฯและจีนที่น่าจะบรรลุร่วมกันได้ในเดือนนี้
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 47 เซนต์ ที่ 62.17 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 34 เซนต์ หรือ +0.6% ที่ระดับ 56.54 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ น้ำมันดิบทั้งสองชนิดต่างเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน จากตลาดที่ตอบรับมุมมองเชิงบวกของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนที่ดูจะทำให้หุ้นสหรัฐฯไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเมื่อวานนี้ รวมทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในหุ้น 11 กลุ่มหลักของ S&P500
ทางการจีน เผยว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการติดต่อกันผ่านวิธีการต่างๆเกี่ยวกับรายละเอียดของสถานที่และวันเวลาในการจัดประชุมเพื่อร่วมลงนามกันระหว่าง 2 ประเทศ
· IMF คาดการณ์ว่า ประเทศกายอานา (Guyana) ซึ่งเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ โดยมีจำนวนประชากรเพียง 780,000 คน และมีชายแดนติดกับบราซิล จะกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกภายในปี 2020
โดย IMF คาดว่าการขยายตัวของ GDP ในประเทศจะอยู่ระดับ 86% ในปี 2020 เพิ่มขึ้น 4.4% จากอัตราเติบโตในปี 2019 มากกว่าอัตราการเติบโตของสหรัฐฯถึง 40 เท่า เนื่องจากเมื่อคิดเป็นปริมาณน้ำมันต่อจำนวนประชากรในประเทศแล้ว ถือว่ากายอานาเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันต่อประชากรมากที่สุดในโลก