· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นในรอบกว่า 5 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินในกลุ่มสินทรัพย์ Safe-Haven อย่างค่าเงินเยน และไปทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินสวิสฟรังก์เมื่อวานนี้ อันเป็นผลจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯและจีนเข้าใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า
สำนักข่าว CNBC ระบุว่า มีรายงานว่าสหรัฐฯและจีนมีความเห็นพ้องกันในการจะหั่นภาษีนำเข้าระหว่างกัน อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าในเฟสแรก และได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศเมื่อวานนี้ ที่หนุนกระแสคาดการณ์ถึงการร่วมลงนามกันครั้งใหม่ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะยังเดินหน้าเจรจาร่วมกันอยู่ก็ตาม
ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง 0.3% ที่ระดับ 109.33 เยน/ดอลลาร์ โดยช่วงต้นตลาดเยนอ่อนค่ามากที่สุดในรอบกว่า 5 เดือนที่ระดับ 109.48 เยน/ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น 0.2% ที่ระดับ 98.128 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 1.1048 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์
ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงทำต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยปรับตัวลงประมาณ 0.3% ที่ระดับ 1.2818 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากบีโออี 2 ราย แสดงการโหวตเลือกลดดอกเบี้ยอย่างไม่คาดคิดมาก่อน อันเนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจชะลอตัว
ทั้งนี้ บีโออีคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0.75% แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่จะเริ่มมีมุมมองในการพิจารณาปรับลดหากเศรษฐกิจโลกยังคงผันผวนและ Brexit ยังไม่คลี่คลาย
· นักวิเคราะห์จาก TD Securities วิเคราะห์มุมมองการลงทุนในค่าเงินปอนด์ โดยระบุว่า ค่าเงินปอนด์ในระยะยาวมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงอีก 2-3 สัปดาห์ต่อจากนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังการเลือกตั้งของอังกฤษในวันที่ 12 ธ.ค.
· รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนและสหรัฐฯมีความเห็นพ้องกันในการจะยกเลิกการขึ้นภาษีการค้าระหว่างกันของทั้งสองประเทศบางส่วน พร้อมกันนี้ยังระบุถึงการที่ทั้งสองประเทศเข้าใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก หลังจากที่มีการเจรจาโครงสร้างของข้อตกลงมาโดยตลอดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้ให้รายละเอียดถึงกรอบเวลา เพียงแต่ระบุถึงการที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะยกเลิกภาษีการค้าระหว่างกันบางส่วน
ขณะที่เจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ ก็ออกมากล่าวยืนยันต่อแผนที่จะปรับลดภาษีการค้าระหว่างกันสำหรับข้อตกลงเฟสแรก เพื่อให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนสามารถร่วมลงนามกันได้ก่อนสิ้นปีนี้
· แหล่งข่าวของสำนักข่าว NBC ระบุว่า นายไมค์ บลูมเบิร์ก มหาเศรษฐีและอดีตผู้ว่าเมืองนิวยอร์ก กำลังพิจารณาเข้าร่วมการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า นายบลูมเบิร์กยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา และยังไม่ได้ยืนยันว่าจะลงสมัครเลือกตั้งแต่อย่างใด
นายบลูมเบิร์กถือเป็นกำลังสำคัญของพรรคเดโมแครต เนื่องจากความมั่งคั่งของเขา โดยในปี 2018 เขาได้ควักเงินสนับสนุนการเลือกตั้งกลางวาระให้กับฝั่งเดโมแครตเป็นเงินมูลค่ากว่า 110 ล้านเหรียญ ขณะที่สมาคมผู้ควบคุมอาวุธปืนนายบลูมเบิร์กให้การสนับสนุน Everytown for Gun Safety ได้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคเดโมแครต ให้สามารถเข้าควบคุมรัฐบาลในรัฐเวอจินเนียได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1994 และในช่วงต้นปีนี้ นายบลูมเบิร์กยังได้เปิดตัวโครงการปฏิรูปพลังงานชื่อว่า Beyond Carbon ด้วยงบประมาณถึง 500 ล้านเหรียญ
· นางอังเกลาร์ แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ทางยุโรปยังไม่ได้ตัดสินใจถึงแนวทางการใช้วิธีตอบโต้การตัดสินใจของอิหร่านที่จะกลับมาเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมอีกครั้ง แต่ก็มั่นใจว่าอิหร่านจะลงมือทำได้ยากกับการกระทำใดๆอันเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตอาวุธนิวเคลียร์
· น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นเหนือ 62 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่จีนเผยถึงความคืบหน้าของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และทำให้เกิดความคาดหวังมากขึ้นว่าจะยุติความยืดเยื้อของ Trade War ที่เป็นปัจจัยลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์ด้านพลังงาน
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 58 เซนต์ ที่ระดับ 62.32 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 80 เซนต์ หรือ +1.4% ที่ระดับ 57.15 เหรียญ/บาร์เรล
สหรัฐฯและจีนเห็นพ้องกันว่าต่างฝ่ายต่างจะมีการยกเลิกภาษีระหว่างกันบางส่วน แต่ทั้งนี้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนก็ไม่ได้กล่าวให้รายละเอียดกรอบเวลาใดๆเพิ่มเติม
ข้อขัดแย้งการค้าดูจะทำให้บรรดานักวิเคราะห์ทำการปรับลดคาดการณ์ของอุปสงค์น้ำมัน และเพิ่มความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด เนื่องจากวิตกกังวลว่าข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯและจีนจะถูกเลื่อนออกไป
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย และชาติพันธมิตรกำลังพิจารณาถึงกรอบทางเลือกในการสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดน้ำมันก่อนเข้าสู่การประชุม OPEC ในระหว่างวันที่ 5-6 ธ.ค.นี้ ซึ่งปัจจุบันมีการปรับลดกำลังการผลิตที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมัน และข้อตกลงนี้ก็อาจใช้ยาวนานต่อเนื่องจนถึงมี.ค. ปี 2020