• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562

    12 พฤศจิกายน 2562 | Economic News



· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีหรัฐฯกล่าวถึงเรื่องการเจรจาการค้ากับจีนว่ามีความคืบหน้าค่อนข้างดี แต่สหรัฐฯก็ต้องการเพียงข้อตกลงกับจีนที่เป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับสหรัฐฯด้วย

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.15% ที่ระดับ 98.202 จุด ในขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้น 0.15% ที่ 1.103 ดอลลาร์/ยูโร

แม้ว่าดอลลาร์บ่อยครั้งจะเป็น Safe-Haven ในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ดอลลาร์ก็กลับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนและสวิสฟรังก์ รวมทั้งสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ

ค่าเงินเยนกลับแข็งค่าขึ้น 0.21% มาที่ 109.02 เยน/ดอลลาร์ ในขณะที่ค่าเงินสวิสฟรังก์แข็งค่าขึ้น 0.42% ที่ 0.993 สวิสฟรังก์/ดอลลาร์ โดยค่าเงินกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยดังกล่าวตอบรับกับเหตุประท้วงฮ่องกงที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งฝั่งเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง 0.3% ที่ 7.009 หยวน/ดอลลาร์

ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.63% ที่ระดับ 1.285 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยเป็นการรีบาวน์กลับ แต่ตลาดก็ยังมีความต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยข้อมูลจีดีพีช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาจะชะลอตัวลงกว่าที่คาดและทำให้ภาพรวมการเติบโตรายปีชะลอตัวลงมากที่สุด

· รายงานจาก Politico ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกคาดหมายว่าจะเลื่อนการประกาศขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรปออกไปอีก 6 เดือน ไปสู่ช่วงกลางปี 2020 เพื่อที่นายทรัมป์จะสามารถให้ความสำคัญกับแคมเปญเลือกตั้งของเขาได้มากขึ้น

· จับตาการไต่สวนนายทรัมป์ในวันพุธนี้ โดยที่คณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรจะเริ่มการไต่สวนสาธารณะซึ่งเป็นขั้นตอนที่สองของกระบวนการถอดถอนนายทรัมป์จากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯตามที่ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจโดยมิชอบจากการขอให้ยูเครนช่วยสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีที่สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งคาดว่าสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากจะลงมติอย่างเร็วที่สุดภายในสิ้นปีนี้ว่านายทรัมป์มีความผิดและให้ถอดถอน แต่อาจถูกสกัดจากวุฒิสภาที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนมกราคม

· บรรดาประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิกกำลังวางเป้าหมายในการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีที่เรียกว่า Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP ภายในปี 2020 หลังจากเจรจามานานกว่า 6 ปี

ข้อตกลงดังกล่าวจะเข้าร่วมโดยบรรดาประเทศในแถบอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ และประเทศคู่ค้าคนสำคัญอีก 5 ประเทศ ซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้

ทั้ง 15 ประเทศเมื่อรวมกันจะมีจำนวนประชากรและดุลการค้าเกือบ 1 ใน 3 ของทั่วโลก ซึ่งใหญ่กว่าสหภาพยุโรป หรือเขตการค้าของสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ภายใต้ข้อตกลง USMCA เสียอีก

อย่างไรก็ตาม อินเดียตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมข้อตกลง RCEP เนื่องจากความกังวลว่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อปริมาณอุปสงค์และผู้ผลิตในประเทศ

นอกจากนี้ การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลง TPP เมื่อปีก่อน ทำให้บรรดาประเทศในแถบเอเชียต้องการหาข้อสรุปสำหรับข้อตกลง RCEP ให้เร็วยิ่งขึ้น

· เมื่อวานนี้ผู้อำนวยการด้านกำกับดูแลนโยบายต่างประเทศของอียู ร่วมกับฝรั่งเศส, เยอรมนี และอังกฤษ เรียกร้องให้อิหร่านปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2015 ร่วมกับกลุ่มชาติมหาอำนาจ หรือจะเจอกับมาตรการต่างๆ อันรวมไปถึงการกลับมากำหนดบทลงโทษครั้งใหม่ และการคว่ำบาตร

ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนของอียู และ 3 ประเทศข้างต้น แสดงท่าทีความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจของอิหร่านที่จะกลับมาเสริมสมรรถภาพของแร่งยูเรเนียมเกรดต่ำสำหรับอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

· นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน มีมุมมองว่า ภายใต้ข้อตกลงกับ UN หากอิหร่านสามารถคงอยู่ภายใต้สนธิสัญญานิวเคลียร์ปี 2015 ต่อไปจนถึงเดือน ต.ค. ปี2020 ได้ ทาง UN จะยกเลิกการสั่งห้ามส่งออกอาวุธของอิหร่าน และจะถือว่าเป็นความสำเร็จทางการเมืองครั้งใหญ่

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลดลงท่ามกลางความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยของการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เข้ากดดันราคา แต่ทิศทางเชิงบวกของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯดูจะเป็นแรงหนุนให้แก่ตลาดบางส่วน

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวลง 33 เซนต์ ที่ 62.18 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ร่วงลงไปทำต่ำสุดระหว่างวันบริเวณ 61.57 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 38 เซนต์ ที่ระดับ 56.86 เหรียญ/บาร์เรล

กลุ่มนักลงทุนมีความวิตกกังวลต่อภาวะยืดเยื้อของสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ฉุดให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และทำให้บรรดานักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบ รวมทั้งเพิ่มความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันที่อาจเพิ่มสูงขึ้นต่อในปีหน้า

นักวิเคราะห์จาก Commerzbank คาดว่า ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ โดยมีข่าว Trade War เป็นประเด็นใหญ่ที่กำหนดทิศทางในเวลานี้เช่นกัน

· บริษัท Abu Dhabi National Oil Company และผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ระดับโลกทั้ง 9 แห่ง ได้จับมือกับ Intercontinental Exchange หรือ ICE เปิดตัวสัญญา Futures น้ำมันดิบตัวใหม่ที่เรียกว่า ICE Futures Abu Dhabi (IFAD) และ ICE Murban โดยมีเป้าหมายจะเริ่มต้นการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในช่วงต้นปี 2020

บรรดาบริษัทที่เข้าร่วมการเปิดตัวสัญญา Futures น้ำมันดิบตัวใหม่นี้ ได้แก่ Adnoc, BP, Shell, Total, PetroChina และ Vitol จึงมีแนวโน้มที่จะสั่นคลอนสัญญาน้ำมันดิบที่เราคุ้นเคยอย่าง WTI และ Brent ได้

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากสถาบัน PVM Oil Associates มีความเห็นว่า การเปิดตัวสัญญาน้ำมันตัวใหม่นี้น่าจะมี “ความท้าทาย” ค่อนข้างมาก พร้อมเตือนว่า ความพยายามผลักดันสัญญาน้ำมันดิบในพื้นที่ตะวันออกกลางเคยประสบความล้มเหลวมาแล้วกับ DME Oman Crude Oil Futures เนื่องจากไม่สามารถสนับสนุนให้ตลาดมีสภาพคล่องได้มากพอที่จะแข่งขันกับ Brent หรือ WTI อีกทั้งภาพรวมตลาดโลกในปัจจุบันดูเหมือนจะไม่มีความต้องการสัญญา Futures น้ำมันดิบตัวใหม่แต่อย่างใด

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com