· ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อ่อนตัว แต่ก็ยังมีแรงหนุนบางส่วนจากความหวังเรื่องเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีนจะเป็นไปด้วยดี ขณะที่บางส่วนค่อนข้างมีท่าทีระมัดระวัง
ล่าสุด นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวเผยว่าทั้งฝ่ายเข้าใกล้ข้อตกลงและเป็นการพูดคุยกันได้ค่อนข้างดีมาก แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าดังกล่าวแต่ก็ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดเพียงพอที่จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อย
โดยเงินเยนอ่อนค่าลง 0.2% ที่ 108.57 เยน/ดอลลาร์ ทางด้านนิวซีแลนด์ดอลลาร์แข็งค่าบ้างเล็กน้อยที่ 0.1% บริเวณ 0.6388 นิวซีแลนด์ดอลลาร์ ทางด้านเงินหยวนแข็งค่า 0.2% แต่ก็ยังยืนแถว 7 หยวน/ดอลลาร์ ที่ระดับ 7.0076 หยวน/ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 98.14 จุด หลังปราศจากรายละเอียดใดๆเพิ่มเติมจากนายคุดโลว์
นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก OCBC Bank กล่าวว่า รูปเกมของสงครามการค้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และสภาวะ Risk off ก็อาจจะไม่เหมาะกับการซื้อขายในเวลาดี
สัญญาณการเจรจาของข้อตกลงการค้าที่ผสมผสานกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประกอบกับหลักฐานที่ว่าข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอก็ดูจะเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์อยู่
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจต่อไปที่ตลาดให้ความสำคัญคือ ข้อมูลการค้าและเงินเฟ้อของยูโรโซนในช่วงเย็นวันนี้ประกอบกับข้อมูลผลสำรวจเขตนิวยอร์กของสหรัฐฯช่วงค่ำนี้
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า จากกราฟรายวันจะเห็นได้ว่าเงินเยนมีการเคลื่อนไหวด้วยแพทเทิร์น Riding Wedge และแท่งเทียนดูกำลังฟอร์มตัวเป็น Evening Star ดังนั้นเราอาจเห็นค่าเงินกลับมาเป็นทิศทางอ่อนค่าต่อได้ หากจะกลับมาเป็นทิศทางอ่อนค่าอีกครั้งต้องเห็นราคาระดับวันปิดเหนือ 109.32 เยน/บาร์เรล
แต่หากจะกลับมาเป็นขาลงต้อง Break ระดับต่ำสุดเมื่อ 1 พ.ย. บริเวณ 107.89 เยน/ดอลลาร์ลงมา ขณะที่ความเชื่อมั่นในตลาดส่วนใหญ่มองว่าจะแข็งค่าต่อได้
· รายงานจาก DailyFX ระบุว่า บรรดานักลงทุนทั่วโลกดูจะมีความเชื่อมั่นทีดีขึ้นจากหัวข้อข่าวความหวังทางเศรษฐกิจที่เฟดทำการปรับลดดอกเบี้ย รวมทั้งความหวังจากที่ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน ที่ทำให้หุ้นสหรัฐฯทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ตลาดหุ้นอาจมีสัญญาณเชิงบวกชัดเจนควบคู่กับความแข็งแกร่งของค่าเงิน รวมทั้งสัญญาณบางส่วนของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นก็ดูจะหนุนค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์เวลานี้
อย่างไรก็ดี ค่าเงินในตลาดก็ยังมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากจะเห็นได้ถึงหลักฐานที่บ่งชี้ว่าความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินไปดิ่งลึก และสะท้อนสู่ภาวะการเติบโตที่แท้จริงทางเศรษฐกิจโลก และอาจกระทบต่อการขยายตัวให้ปรับลงในปี่ต่อๆไป
สถาบันการเงิน OECD ประมาณการณ์ว่า เม็ดเงินการลงทุนจะปรับตัวลงประมาณ 20% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ขณะที่ไตรมาสที่ 2 FDI ร่วงลง 42% ซึ่งในกลุ่ม FDI นั้นทั้งยุโรปและสหรัฐฯจะเห็นได้ว่าร่วงลงทั้งคู่ ขณะที่จีนมีค่าที่ปรับตัวขึ้นบ้าง แต่เมื่อเทียบกับของเดิมก็เป็นเพียงปรับขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนค่อนข้างแน่ชัดว่าประสบภาวะชะลอตัวอันจะเห็นได้จากจีดีพีที่ปรับตัวลงมาที่ 6% ในส่วนของการส่งออกยักษ์ใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็เผชิญกับภาวะชะลอตัวลงเช่นกัน ทั้งนี้ ทางบริษัทสัญญาติอเมริกาก็มีการกล่าวย้ำถึงอุปสงค์จากจีนก็ยังมีความไม่แน่นอน
แต่ความคาดหวังจากการที่สหรัฐฯและจีนอาจตกลงกันได้และจะเอื้อต่อเศรษฐกิจโลก โดูจะช่วยให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวสูงึข้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องระวังต่อความผิดหวังที่อาจประสบได้ หากว่าทั้งสองประเทศยังสร้างแรงกดดันทางการค้า ก็อาจเป็นประเด็นสำคัญต่อตลาดการเงินได้
· เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวได้ที่อัตรา 4.4% ในไตรมาสที่ 3/2019 สอดคล้องกับคาดการณ์ส่วนใหญ่ แต่เป็นอัตราขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบ 1 ปี และต่ำกว่าการขยายตัวในไตรมาสที่ 2/2019 ที่ 4.9% โดยเป็นผลกระทบจากยอดส่งออกที่ชะลอตัวลงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
· ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 2 แสนล้านหยวน (2.860 หมื่นล้านเหรียญ) ผ่านนโยบายปล่อยกู้ระยะกลาง ขณะที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ระดับเดิม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด เนื่องจากทางธนาคารกลางฯเพิ่งมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจไปเมื่อสัปดาห์ก่าอน ขณะที่นักลงทุนบางส่วนมองว่า การอัดฉีดเม็ดเงินครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสภาพคล่องของตลาดที่เริ่มถดถอยลง
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ตลาดน่าจะให้ความสนใจไปยังการประกาศยอดค้าปลีก (Retail sales) ของสหรัฐฯในคืนนี้มากเป็นพิเศษ เพื่อประเมินทิศทางการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันก่อนถึงช่วงเทศกาลสำคัญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ยอดค้าปลีกในเดือน ก.ย. ประกาศออกมาหดตัว 0.3% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ซึ่งยอดค้าปลีกคืนนี้ถูกคาดว่าจะออกมาขยายตัวได้ 0.2%
· นักวิเคราะห์จาก Barclays มีมุมมองว่า การประกาศยอดค้าปลีกสหรัฐฯเดือน ต.ค. ในคืนนี้ มีแนวโน้มที่จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากที่ปรับลดลงไปอย่างผิดคาดในเดือน ก.ย.
โดยการที่ยอดค้าปลีกในเดือน ก.ย. ปรับลดลงอย่างผิดคาด น่าจะเป็นผลกระทบมาจากที่บรรดาผู้บริโภคกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัวจาก Amazon’s Prime Day ที่เป็นเทศกาลช็อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่และยาวนานที่สุดของ Amazon ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกถือเป็นหนึ่งในตัวเลขทางเศรษฐกิจสำคัญที่เฟดจะใช้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจในการประชุมเดือน ธ.ค. ส่วนอีกหนึ่งตัวเลขสำคัญคือเรื่องของการจ้างงาน
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร้องขอให้ศาลสูงสุดสั่งอัยการรัฐนิวยอร์กยุติการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการเงินของเขา ซึ่งเป็นการตรวจสอบการจ่ายภาษีย้อนหลังของนายทรัมป์ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2011 - 2018
อย่างไรก็ดี การเดินเรื่องดังกล่าวถือเป็นการตรวจสอบครั้งประวัติศาสตร์เรื่องความเป็นกลางของศาลสูง และเรื่องการแบ่งแยกอำนาจตามกรอบรัฐธรรมนูญ ขณะที่ฝ่ายของนายทรัมป์ ตั้งคำถามว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯควรได้รับการคุ้มครองจากการถูกสอบสวนในขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศ
· รายงานจากกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ทางจีนยังคงมีการเรียกร้องสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สหรัฐฯพิจารณายกเลิกการขึ้นภาษี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขบรรลุข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก พร้อมระบุว่า สงครามการค้าเริ่มต้นขึ้นจากการขึ้นภาษี ดังนั้นก็ควรจบลงด้วยการยกเลิกภาษี
และหากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงเฟสแรกได้ การยกเลิกภาษีจะยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของข้อตกลงเฟสแรก ขณะที่ตัวแทนการเจรจาของทั้งสองฝ่ายก็ยังรักษาการสื่อสารที่ใกล้ชิดกันอย่างต่อเนื่อง
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายไมเคิล บาร์ อัยการสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ได้เขียนจดหมายรายงานไปยังประธานคณะกรรมธิการด้านการสื่อสารประจำรัฐสภา เกี่ยวกับการพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตร Huawei และ ZTE ของจีน โดยระบุว่า “เราไม่สามารถเชื่อใจ Huawei และ ZTE ได้”
· นางแคร์รี ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้ออกมาประณามผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนางเทเรซา เจิ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของฮ่องกง ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการป่าเถื่อนและละเมิดหลักการของสังคมอารยะ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากกลุ่มโอเปกที่คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันปีหน้าอาจเพิ่มขึ้นได้จากการที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันยังคงตรึงกำลังการปรับลดกำลังการผลิตต่อในการประชุมเดือนหน้า
นอกจากนี้ ทิศทางเชิงบวกของสหรัฐฯและจีนที่อาจลงนามข้อตกลงร่วมกันในการยุติสงครามการค้าจากถ้อยแถลงของ นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจทำเนียบขาวที่ระบุว่ามีการเข้าใกล้บรรลุข้อตกลงมากขึ้นในการเจรจากับทางจีน
โดยจะเห็นได้ว่า น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 28 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ 62.56 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 28 เซนต์ ที่ 0.5% ที่ระดับ 57.05 เหรียญ/บาร์เรล
· นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจาก DailyFX ระบุว่า ราคาทองคำยังคงอ่อนตัวในภาพระดับวันที่เป็นขาขึ้น แต่เริ่มมีสัญญาณ Overbuying ใน Indicators ต่างๆ แต่ภาพรวมก็อาจเห็นราคากลับเป็นขาขึ้นได้
อย่า่งไรก็ดี ภาวะขาขึ้นของตลาดน้ำมันจะเกิดขึ้นหากผ่านแนวต้านได้ ซึ่งตลาดต้องกลับยืนเหนือ 57.74 เหรียญ/บาร์เรล