• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2562

    18 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

  
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันศุกร์จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีนที่ดูจะทำให้ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินยูโรและค่าเงินปอนด์ในวันศุกร์ก็มีทิศทางที่แข็งค่าขึ้น

ความหวังที่สหรัฐฯและจีนจะสามารถยุติปัญหาสงครามการค้าได้เร็ววันมาจากถ้อยแถลงของ นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวถึงการเข้าใกล้ข้อตกลงการค้ากันมากขึ้น แต่การปราศจากรายละเอียดใดๆเพิ่มเติมก็ดูจะทำให้ตลาดยังมีท่าทีระมัดระวัง

นักวิเคราะห์จาก Commerzbank มองว่า ถ้อยแถลงของเขาไม่ได้แตกต่างอะไรจากของ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในเดือนที่แล้ว แต่ก็ดูเหมือนถ้อยแถลงของทั้งคู่จะหนุนความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในตลาด อีกทั้งทำให้คาดหวังวามีโอกาส 99% ที่ข้อตกลงนั้นจะประสบผลสำเร็จ

ทั้งนี้ ตลาดก็ดูจะมีท่าทีระมัดระวังและรอประเมินทิศทางอีกครั้ง รวมทั้งรอคอยการลงนามข้อตกลงดังกล่าวด้วย

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.26% ที่ระดับ 1.105 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.15% ที่ระดับ 1.29 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าลง 0.37% ที่ระดับ 108.79 เยน/ดอลลาร์

ด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.953 จุด หลังจากที่ร่วงลงจากระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วที่ทำไว้บริเวณ 98.4 จุด

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์เผยข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯที่มีการรีบาวน์ขึ้นในเดือนต.ค. แต่ภาพรวมกลุ่มผู้บริโภคก็ยังมีการปรับลดกำลังการซื้อในกลุ่มสินค้าภาคครัวเรือน และเสื้อผ้า จึงเกิดคำถามตามมาว่ากลุ่มผู้บริโภคที่เป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯจะแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นเงินปอนด์และยูโรแข็งค่าขึ้น

· รายงานจากสำนักข่าวซินหัวของจีนเมื่อวานนี้ ระบุว่า นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมทั้งนายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯมีการพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์เพื่อหารือกันต่อ โดยที่ทั้งสองฝ่ายมีความคืบหน้าในการหารือกันมากขึ้นเกี่ยวกับที่ต่างฝ่ายต่างเป็นกังวลระหว่างกัน และก็มีการเข้าใกล้การบรรลุข้อตกลงเฟสแรก จึงตอกย้ำกับถ้อยแถลงของนายคุดโลว์ เมื่อวันศุกร์ ที่ระบุถึงการที่สหรัฐฯและจีนเข้าใกล้ข้อตกลงการค้า

· รายงานจาก Morgan Stanley สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจโลก โดยระบุว่า น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า เกี่ยวกับปัญหาสงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง รวมทั้งการชะลอการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน



ทั้งนี้ ความคลี่คลายของปัญหาสงครามการค้าที่เคยเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะขาลงนั้น ดูมีแนวโน้มจะช่วยลดความไม่แน่นอนในภาคธุรกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 3.2% ในปีหน้า จากระดับ 3% ในปีนี้



อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ของการเจรจาในครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดการขึ้นภาษีรอบต่อไปของทางทีมบริหารนายทรัมป์ด้วย โดยกำหนดการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนรอบล่าสุดจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค. หากเกิดการขึ้นภาษีดังกล่าวจริงก็มีแนวโน้มจะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ชะลอตัวลงแตะ 2.8% และจะทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวในปีช่วงต้นปีหน้าไปเป็นช่วงไตรมาสที่ 3/2020 แทน



· ในวันเสาร์ที่ผ่านมา ทางธนาคารกลางจีนมีการเผยว่าจะยังคงเดินหน้าดำเนินนโยบายทางการเงินด้วยความระมัดระวังเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ โดยรายงานในช่วงไตรมาสที่ 3/2019 ดูเหมือน PBoC จะเผยถึงการศึกษาแผนการปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ก้อนเดิมสู่การกู้ยืมครั้งใหม่ในนาม LPR



· นายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตผู้ว่าเมืองนิวยอร์ก ได้กล่าวขอโทษและสำนึกผิด ต่อที่ประชุมทางศาสนาประจำเมืองนิวยอร์ก เกี่ยวกับกรณีที่เขาเคยกล่าวให้การสนับสนุนตำรวจในการจับกุมชาวผิวสีและชาวลาติน-อเมริกัน

การกล่าวขอโทษครั้งนี้ เกิดขึ้นในระหว่างที่นายบลูมเบิร์กกำลังพิจารณาลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2020 ในฐานะตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเสียงของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน มีผลกระทบต่อการเลือกตั้งค่อนข้างมาก

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความถึงนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยระบุให้ “รีบดำเนินการ” บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯโดยเร็ว พร้อมส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองผู้นำจะกลับมาพบกันอีกครั้ง โดยระบุว่า “แล้วเจอกันเร็วๆนี้”




ก่อนหน้านี้ ทางเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯเกี่ยวกับการจัดการประชุมร่วมกับสหรัฐฯในช่วงปลายปีนี้ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯมีความยืดหยุ่นต่อการจัดการเจรจามากกว่านี้

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า การซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้จะถูกเลื่อนออกไปก่อน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ

ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ต่อว่านายโจ ไบเดน คู่แข่งทางการเมืองของนายทรัมป์ ว่าเป็น “สุนัขบ้า ที่ควรถูกกำจัดทิ้งเสีย” หลังจากที่นายไบเดนได้กล่าวต่อว่านายคิม จอง อึน

· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวกับบรรดาผู้นำทางภาคธุรกิจว่า พรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษจะสามารถออกจากอียูได้ รวมทั้งยุติความไม่แน่นอนและข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับ Brexit เกี่ยวกับการทำให้เศรษฐกิจประสบภาวะชะงักงันหากได้รับเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในการเลือกตั้ง 12 ธ.ค.นี้

· สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นประมาณเกือบ 2% ในวันศุกร์ จากถ้อยแถลงของ นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่กล่าวให้สัมภาษณ์กับทาง Fox Business Network ที่สะท้อนถึงความเป็นไปสูงที่สหรัฐฯจะบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายสำหรับเฟสแรกกับทางจีนได้ โดยที่สหรัฐฯและจีนยังมีกำหนดการเจรจาผ่านทางโทรศัพท์ร่วมกันอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมของตลาดน้ำมันก็ยังมีแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่กำลังเพิ่มขึ้นและจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน

น้ำมันดิบ Brent ปิด +1.03 เหรียญ หรือคิดเป็น +1.7% ที่ระดับ 63.31 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น +95 เซนต์ หรือ +1.7% เช่นกัน ที่ระดับ 57.72 เหรียญ/บาร์เรล โดยที่น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดต่างก็ปิดปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง

· รายงานประจำเดือนของทาง IEA ดูจะสร้างแรงกดดันให้แก่ราคาน้ำมันดิบไม่น้อย หลังจากที่ประเมินว่าอุปทานของกลุ่มประเทศสมาชิกนอก OPEC ดูจะเพิ่มขึ้นแตะ 2.3 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า จากระดับ 1.8 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากทางสหรัฐฯ บราซิล, นอร์เวย์ และกายอานา

· สถานการณ์ชุมนุมในฮ่องกงล่าสุด พบว่าตำรวจมีการปิดล้อมกลุ่มผู้ชุมนุมนับหลายร้อยไว้ในพื้นที่มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคชื่อดึงในย่านการท่องเที่ยงของฮ่องกง ท่ามกลางการประทะกันอย่างรุนแรงติดต่อกันถึง 2 วัน ที่สร้างความกังวลให้กับหลายๆฝ่ายว่าการประทะอาจขยายตัวรุนแรงยิ่งกว่านี้จนกลายเป็นเหตุนองเลือด

ขณะที่อีกรายงานหนึ่งระบุว่า ก่อนหน้าที่ตำรวจจะปิดล้อมกลุ่มชุมนุมไว้ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทหารของจีนกลุ่มหนึ่งได้ออกมาช่วยเหลือประชาชนในการเก็บกวาดเศษซากต่างๆที่เกิดจากการประทะ

อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของทหารจีนในพื้นที่ฮ่องกงได้สร้างความกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมด้วยกำลังทางทหารได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com