· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวสูงขึ้นเป็นระดับประวัติการณ์ อันได้รับอานิสงส์จากมุมมองเชิงบวกของข้อตกลง Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับหุ้นกลุ่มบริษัทสุขภาพที่ปรับตัวสูงขึ้น
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 222.93 จุด หรือคิดเป็น +0.8% ที่ระดับ 28,044.89 จุด ทางด้าน S&P500 ปิด +0.77% ที่ 3,120.46 จุด ขณะที่ Nasdaq ปิด +0.73% ที่ 8,540.83 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางมุมมองเชิงบวกจากทางทำเนียบขาวเกี่ยวกับกรณีเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +0.35% ท่ามกลางกลุ่มหุ้นทรัพยากรที่ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่า 1%
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวผสมผสานกันในเช้านี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตาไปยังความคืบหน้าทางการค้าสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Nikkei 225 และ Topix เปิดทรงตัว ขณะที่ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.13% และดัชนี ASX200 เปิดปรับลงประมาณ 0.54%
ภาพรวมดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นเปิดปรับตัวลง 0.06%
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารการเงิน คาดว่ากรอบเงินบาทสัปดาห์หน้าจะอยู่ระหว่าง 30.20 – 30.30 บาท/ดอลลาร์ โดยรอความคืบหน้าเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีน หลังจากที่ภาพรวมเมื่อวันศุกร์ที่มีการซื้อขายเป็นไปตามแรงซื้อขายจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าออกสลับกันระหว่างตลาดพันธบัตรไทยกับหุ้นไทย
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงการคลังเพื่อติดตามภาพรวมเศรษฐกิจ ร่วมกับ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งชี้แจงว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้เกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี จึงสั่งการ รมว.คลังเตรียมมาตรการกระตุ้นในปี 2563 ไว้รองรับ ในกรณีที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมา เพราะจะหวังพึ่งการส่งออกไม่ได้มาก
นอกจากนี้ นายสมคิด ได้เร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2562 โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน