· สกุลเงินส่วนใหญ่เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวในวันนี้ เพื่อจับตาความชัดเจนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยตลาดส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นดีขึ้นหลังจากที่มีรายงานเกี่ยวกับ “การเจรจาที่คืบหน้า” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์จาก ACLS Global ระบุว่า แม้ทิศทางการเจรจาจะดูไปในเชิงสดใสทีเดียวเลยก็ตาม แต่ควรตระหนักว่า ทางจีนได้เรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกการขึ้นภาษีเพื่อเป็นเงื่อนไขของการบรรลุข้อตกลง ซึ่งก็ไม่มีความชัดเจนว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะยินยอมด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนแข็งค่าเล็กน้อยแถว 108.81 เยน/ดอลลาร์
ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1062 ดอลลาร์/ยูโร หลังรีบาวน์ขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ 1.0989 ดอลลาร์/ยูโร ที่ลงไปเมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ก่อน จึงกดดันดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมาแถว 97.905 ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์แข็งค่าต่ออีก 0.2%แถว 1.2929 ดอลลาร์/ปอนด์ และเป็นค่าเงินที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในวันนี้ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า ตัวแทนลงเลือกตั้งจากพรรค Conservative ทุกคน ให้สัญญาที่จะสนับสนุนการผลักดันให้เกิดข้อตกลง Brexit
· นักวิเคราะห์จาก FXStreet วิเคราะห์ว่า ค่าเงินยูโรมีการซื้อขายเหนือ 1.1050 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางการเจรจาระดับสูงของสหรัฐฯและจีนในช่วงปลายสัปดาห์ที่มีความคืบหน้ามากขึ้น ขณะที่วันนี้ตลาดให้ความสนใจกับบรรดาสมาชิกอีซีบี
จากกราฟราย 4 ชม. มีสัญญาณเชิงบวก ขณะที่เค่าเงินยูโรมีการ Break มายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 SMA หลังจากที่ยืนเหนือเส้น 50 SMA ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ภาพรวมจึงยังเห็นค่าเงินยูโรอยู่ในทิศทางขาขึ้น
ค่าเงินมีความผันผวนกลับทดสอบระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.1070 ดอลลาร์/ยูโร หากผ่านไปได้มีโอกาสกลับมาที่ 1.1090 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นจุดที่กลับมาทดสอบในเดือนนี้จำนวน 2 ครั้ง และหากยืนได้เหนือระดับดังกล่าวมีโอกาสเห็น 1.1110 ดอลลาร์/ยูโร รวมทั้งอาจไปที่ระดับเป้าหมายต่อไป 1.1130 และ 1.1180 ดอลลาร์/ยูโร
ภาพรวมแนวรับจะอยู่ที่ระดับ 1.1045 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งหากหลุดลงมาจะมีแนวรับถัดไปที่ 1.1035 ดอลลาร์/ยูโร และมีโอกาสกลับทดสอบเป้าหมายเดิมที่เป็นจุดต่ำสุดเดือนนี้ที่ 1.1015 และ 1.10990 ดอลลาร์/ยูโร
· นักวิเคราะห์จาก FXStreet มองว่าค่าเงินปอนด์ที่เคลื่อนไหวบริเวณ 1.2950 ดอลลาร์/ปอนด์ มาจากการตอบรับกับโพลล์สำรวจที่ว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ นายเจเรมี คอร์บลิน หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านจะกล่าวอภิปรายแสดงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในวันนี้
ในเชิงเทคนิคราคามีแนวต้านใกล้ 1.2945 - 1.2950 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยภาพรวมมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งหากผ่านไปได้มีโอกาสทดสอบ 1.30 ดอลลาร์/ปอนด์ ในทางกลับกันหากค่าเงินปอนด์มีโอกาสกลับเป็นขาลงได้หากหลุด 1.2880 - 1.2875 ดอลลาร์/ปอนด์ตามลำดับ โดยหากหลุดลงมามีโอกาสเห็นค่าเงินปอนด์กลับทดสอบ 1.2800 ดอลลาร์/ปอนด์ และหากหลุดลงมาจะกลับทดสอบ 1.2700 ดอลลาร์/ปอนด์
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัญญาขอเวลาอีกไม่นานจะจ่ายเงินอัดฉีดให้กับเกษตรกรสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ก่อนช่วงเทศกาล Thanksgiving ปลายเดือนนี้ พร้อมระบุว่า จีนกำลังเพิ่มปริมาณเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ นายวิลบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ FOX Business โดยระบุว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนน่าจะมีประมาณ 3 เฟส ซึ่งแต่ละเฟสจะมี “ขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด” ซึ่งข้อตกลงเฟสแรกจะมุ่งเน้นไปที่ “การค้าขาย ณ ปัจจุบัน” และขึ้นอยู่กับว่าทางจีนมีความประสงค์ที่จะเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเป็นมูลค่า 4 – 5 หมื่นล้านเหรียญหรือไม่
· ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย reverse repo ครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี โดยปรับอัตราดอกเบี้ย reverse repos อายุ 7 วัน ลง 0.5% สู่ระดับ 2.5% จากเดิมที่ระดับ 2.55% พร้อมอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 1.8 แสนล้านหยวนในวันนี้ ( 2.571 หมื่นล้านเหรียญ)
·
ทั้งนี้ reverse repo เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ด้วยข้อตกลงที่จะขายคืนในอนาคต
ทางธนาคารกลางจีนระบุว่า จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ไม่ผ่อนคลายหรือคุมเข้มเกินไป ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
· เจ้าหน้าที่อาวุโสจากทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า ทางสหรัฐฯไม่สนับสนุนการใช้กำลังอย่างไม่ยุติธรรมต่อผู้ชุมนุมชาวฮ่องกงที่เรียกร้องประชาธิปไตย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลจีนปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนฮ่องกง ภายหลังจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
· วันนี้ราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย หลังจากที่ปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่กำลังรอคอยสัญญาณของโอกาสจะเกิดข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน จึงช่วยคลายกังวลบางส่วนต่อภาวะอุปทานน้ำมันที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น
น้ำมันดิบ Brent ทรงตัวที่ 63.30 เหรียญ/บาร์เรล โดยทรงตัวหลังจากที่ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 1.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
น้ำมันดิบ WTI คงเดิมที่ 57.72 เหรียญ/บาร์เรล โดยเพิ่มขึ้น 0.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว
· รายงานจากโอเปกทำการหั่นอุปสงค์น้ำมันในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยผลผลิต Shale Oil และสินค้าอื่นๆน่าจะมีการขยายตัว แม้ว่าความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก
โดยกลลุ่มโอเปกทำการปรับลดคาดการณ์การเติบโตน้ำมันดิบจะเหลือเพียง 32.8 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในปี 2024 จากระดับ 35 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2019
โดยภาพรวมน้ำมันดิบ WTI ดูจะมีอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงบ้างทั้งในระยะกลางและระยะยาว
สำหรับอุปทานน้ำมันที่ปรับตัวลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดจากเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างโอเปกและกลุ่มสมาชิกนอกโอเปกที่ร่วมมือกันลดกำลังการผลิตเพื่อสนับสนุนน้ำมัน และคาดว่าจะเห็นข้อตกลงดังกล่าวต่อไปก่อนในปี 2020
· บริษัท Aramco ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นบริษัทที่สามารถเรียกเงินทุนจากการเปิด IPO ได้มากที่สุดในโลก โดยยอดระดมทุนล่าสุดอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านเหรียญ ใกล้ระดับเป้าหมายของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียที่ 2 ล้านล้านเหรียญ
ทั้งนี้ การเปิด IPO ของ Aramco ไม่สามารถขายหุ้นให้กับนักลงทุนชาวอเมริกันได้โดยตรง การระดมทุนครั้งนี้จึงถูกจำกัดอยู่แค่ในซาอุดิอาระเบีย และสถาบันทางการเงินทีได้รับอนุญาตเท่านั้น
การเปิดระดุมทุนครั้งนี้ มากกว่าสถิติที่ Alibaba เคยทำไว้เมื่อตอนจดทะเบียนในตลาดนิวยอร์กปี 2014 ที่มูลค่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญ
· WTI: เปิดตลาดทดสอบระดับ 58 เหรียญ/บาร์เรล จากสัญญาณบวกเจรจาการค้า
บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI เปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ 57.98 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางสัญญาณของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของตลาดกลับมาอีกครั้ง ประกอบกับแรงหนุนของรายงานปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯที่ลดลงมากกว่าที่คาด และการเปิด IPO ของ Aramco ในซาอุดิอาระเบีย
สำหรับช่วงสัปดาห์นี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า ตลาดน่าจะให้ความสนใจไปยังความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน รายงานปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯรายสัปดาห์ และข่าวเกี่ยวกับ Aramco