· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นจากถ้อยแถลงของผุ้นำสหรัฐฯและจีนที่เผยถึงความเป็นไปได้ของข้อตกลงการค้า รวมทั้งตลาดตอบรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดในของสหรัฐฯที่ดูจะช่วยคลายความกังวลให้แก่กลุ่มนักลงทุน โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด +109.33 จุด หรือ +0.39% ที่ 27,875.62 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.22% ที่ระดับ 3,110.29 จุด และ Nasdaq ปิด +0.16% ที่ระดับ 8,519.89 จุด
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวกับสำนักข่าว FOX News โดยระบุว่า ข้อตกลงการค้ามีความเป็นได้ที่จะเข้าใกล้ข้อตกลงอย่างสูง โดยเป็นการแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เผยถึงการที่จีนต้องการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯในเบื้องต้น
ดัชนี S&P500 และดาวโจนส์มีการปิดรายวันที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบสัปดาห์ อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนและความกังวลว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศจะถูกเลื่อนออกไปจนถึงปี 2020 ขณะเดียวกันก็มีความกังวลถึงการที่สภาคองเกรสสหรัฐฯอนุมัติร่างกฎหมายสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกงที่อาจส่งผลต่อการเจรจาทำข้อตกลงการค้ากันได้
กลุ่มนักกลยุทธ์บางส่วน มองว่า นายทรัมป์ยังมีท่าทีไม่ชัดเจนว่าจะตัดสินใจลงนามหรือใช้สิทธิ์วีโต้ต่อร่างกฎหมายดังกล่าว
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดแดนบวกจากมุมมองที่สดในขึ้นเกี่ยวกับความคืบหน้าข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +0.4% ขณะที่ความตึงเครียดในการเจรจาก็ยังมีอยู่ภายใต้แรงกดดันจากร่างกฎหมายของสหรัฐฯเกี่ยวกับการว่าด้วยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนฮ่องกง รวมทั้งการที่เรือรบสหรัฐฯ 2 ลำเคลื่อนใกล้หมูเกาะทะเลจีนใต้ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ดูจะสร้างความไม่พอใจให้แก่จีน
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในตลาดยังคงเป็นบวก จากกที่นายทรัมป์ เผยว่า สหรัฐฯและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากันได้
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวขึ้น ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอดูการตอบรับของตลาดต่อการเลือกตั้งทั่วไปในฮ่องกง ท่ามกลางเหตุความไม่สงบภายในประเทศนานนับหลายเดือน โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +0.79% ขณะที่ Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.93% และหุ้น S&P/ASX200 เปิด +0.6% ในขณะที่ภาพรวมของดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่น เปิด +0.27%
กลุ่มนักลงทุนกำลังรอคอยผลการเลือกตั้งในฮ่องกงที่มีผู้ใช้สิทธิออกเสียงสูงสุดเป็นประวัติการณ์
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
-นักบริหารเงิน ประเมินกรอบค่าเงินบาทสำหรับต้นสัปดาห์นี้ไว้ระหว่าง 30.15-30.25 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ตลาดยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆชี้นำ ด้านผู้ส่งออกและผู้นำเข้าก็ค่อนข้างเงียบเหงา คาดว่ายังรอดูความชัดเจนหรือความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
-ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจไทย (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้ให้ความเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจปี 63 ได้แก่ 1.การดูแลเกษตรกร กำลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย SME และ เศรษฐกิจฐานราก 2.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 3.การขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% ในปี 63 4.การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน 5.การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
-รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรี (ครม.เศรษฐกิจ) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมฯรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3/62 ที่ขยายตัว 2.4% และคาดว่าในไตรมาส 4/62 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8% และทั้งปี 62 คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.6% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วพบว่าไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่การเติบโตยังขยายตัวเร่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องขับเคลื่อนให้มีการเติบโตต่อเนื่องไป เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น การลงทุน การจับจ่ายใช้สอย
-ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ตัวแทน FETCO จะเข้าหารือกับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เพื่อหาข้อสรุปรูปแบบกองทุนใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะหมดอายุการใช้สิทธิในการลดหย่อยภาษีในปีนี้ หากได้ข้อสรุปในการหารือครั้งนี้ก็คาดว่าจะเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในสัปดาห์ถัดไป