· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่ดูจะตอบรับกับผลลัพธ์ความเป็นไปได้เชิงบวกของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยจะเห็นได้จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์บริเวณ 109.205 เยน/ดอลลาร์ ก่อนจะทรงตัวบริเวณ 109.12 เยน/ดอลลาร์ และเป็นปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ค่าเงินยูโรและปอนด์อ่อนค่าลง โดยเงินยูโรอ่อนค่ามาที่ 1.1012 ดอลลาร์/ยูโร ในขณะที่ค่าเงินปอนด์อยู่ที่ 1.2853 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.2% ที่ 0.6774 ดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยที่ตลาดซื้อขายเริ่มเบาบางก่อนวันหยุด Thanksgiving Day ของสหรัฐฯในวันพรุ่งนี้
ค่าเงินหยวนทรงตัวหลังอ่อนค่าไปมากที่สุดเมื่อวานนี้จากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยล่าสุดทรงตัวที่ 7.0291 หยวน/ดอลลาร์
· ดัชนีดอลลาร์ยังคงทิศทางแข็งค่าต่อในวันนี้ โดยปรับแข็งค่า 0.11% แถว 98.36 จุด ระหว่างวันมีการขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 98.40 จุด
สำหรับวันนี้ต้องจับตาการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2019 ของสหรัฐฯ เป็นหลัก รองลงมาคือตัวเลขอัตราเงินเฟ้อหรือ PCE Price Index ตามมาด้วยตัวเลขอื่นๆ อย่าง Chicago PMI, Durable Goods Orders, Personal Income/Spending และ Pending Home Sales
ดัชนีดอลลาร์จะมีระดับที่ต้องจับตาเป็นแนวต้านแรกอยู่ที่ระดับ 98.45 จุด ถัดมาที่ 99.25 และ 99.67 ตามลำดับ ขณะที่แนวรับจะอยู่ที่ระดับ 98.08 จุด ถัดมาที่ 97.68 และ 97.58
· ล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังจากที่มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตัวแทนการค้าระดับสูงของทั้งสองประเทศมีการพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์เมื่อวานนี้
· นักวิเคราะห์ ระบุว่า หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเร็วๆนี้ เหตุการณ์สำคัญที่ตลาดจับตาคือวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ว่าสหรัฐฯจะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีจีนและมีผลในวันนั้นหรือไม่
· ข้อมูลยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯร่วงลงในเดือนต.ค. ขณะที่ยอดนำเข้าและส่งออกก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยปัญหาการค้าปรับตัวลงส่วนหนึ่งมาจากนโยบายทีมบริหารทรัมป์ในรูปแบบ "America First"
เมื่อวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยถึงยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯออกมาที่ -5.7% ที่ระดับ 6.65 หมื่นล้านเหรียญ โดยยอดส่งออกก็ร่วงลง 0.7% หลังจากที่เดือนก.ย.ขยายตัวได้ 1.3% อันเป็นผลกระทบมาจากการขนส่งสินค้าทางเรือที่ออกมาแย่ลงในกลุ่มอาหารตลอดจนถั่วเหลือง ขณะที่ยอดส่งออกกลุ่มยานยนต์ร่วงลงเช่นกัน อันเนื่องจากการปรับลดกำลังการผลิตรถมอเตอร์ไซต์
ในส่วนของยอดนำเข้าก็ปรับลง 2.4% ในเดือนต.ค. หลังจากที่ปรับตัวลง 2.1% ในเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรม กลุ่มรถยนต์ และสินค้าของกลุ่มผู้บริโภค และข้อมูลทั้งหมดที่ออกมาไม่ค่อยดีนักดูจะส่งผลต่อจีดีพี และสะท้อนถึงการค้าที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงต่อท่ามกลางการใช้จ่ายกลุ่มผู้บริโภคที่ชะลอตัว รวมทั้งการอ่อนตัวในการลงทุนภาคธุรกิจ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากรายงานข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด แต่ความหวังว่าจะเกิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในเฟสแรกช่วยหนุนให้ราคาไม่ลดลงไปมากกว่านี้
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.14% ที่ระดับ 64.18 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 12 เซนต์ หรือ 0.21% ที่ระดับ 58.29 เหรียญ/บาร์เรล