· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการในวันหยุด Thanksgiving
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -0.1% อันเนื่องจากความกังวลต่อสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน หลังจากที่นายทรัมป์ตัดสินใจลงนามกฎหมายสนับสนุนผู้ประท้วงฮ่องกง ส่งผลให้บรรดานักกฎหมายกล่าวเตือนว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนอาจยิ่งสร้างความวุ่นวายให้แก่ฮ่องกง ขณะที่จีนพร้อมตอบโต้กฎหมายดังกล่าว ด้วยมุมมองว่าเป็นการแทรกแซงภายใน
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันในเช้านี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยความคืบหน้าของการเจรจาการค้าว่าจะได้รับผลกระทบจากกฎหมายฮ่องกงเมื่อเร็วๆนี้หรือไม่
ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.24% ขณะที่ Topix เปิด +0.11% ทางด้าน Kospi เกาหลีใต้เปิด -0.1% ทางด้านดัชนี S&P/ASX200 เปิด +0.3% และดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด +0.07%
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
-นักบริหารเงิน ประเมินกรอบค่าเงินบาทวันนี้ไว้ระหว่าง 30.15 - 30.30 บาท/ ดอลลาร์
-รมว.คลังไทย รับว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยและหลายประเทศต่างได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ทยอยออกไปนั้น เชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งให้ดีขึ้นได้ในอนาคต พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้หดตัว แค่เติบโตชะลอลงในภาวะที่โดนผลกระทบจากรอบด้าน
-ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไทย (สศค.) คาดว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/62 มีโอกาสจะขยายตัวได้ราว 3.2% ซึ่งจะทำให้ทั้งปีนี้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ 2.8% ตามเป้าหมายของกระทรวงการคลัง แต่ช่วงที่เหลือของปีนี้ต้องจับตาแนวโน้มตัวเลขการส่งออกที่ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศ ทั้งปัญหาการกีดกันทางการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งควบคุมได้ยาก
-สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนพ.ย.62 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) มีแนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากภาคเกษตรและภาคการบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการบริการของ กทม.และปริมณฑล
-ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ว่า ความเห็นส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงการคลังที่จะกำหนดให้นำวงเงินลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนใหม่ไปคิดรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ไม่เกิน 500,000 บาท/ปี เพราะมองว่าจะทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุนน้อยลงหรืออาจจะหายไปเกินกว่าครึ่ง