· ค่าเงินเยนร่วงลงทำระดับต่ำสุดรอบ 6 เดือนที่ระดับ 109.73 เยน/ดอลลาร์ ก่อนจะทรงตัวกลับมาบริเวณ 109.63 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์และนิวซีแลนด์ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังจากที่ข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตจีนรีบาวน์เกินคาด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวก่อนทราบถ้อยแถลงรัฐสภายุโรปภายหลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของนางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบีคนใหม่ ว่าจะมีทิศทางในการดำเนินนโยบายภายใต้ประธานคนใหม่อย่างไร ในขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงก่อนทราบผลเลือกตั้งอังกฤษสัปดาห์หน้า โดยเงินปอนด์อ่อนค่ามาที่ 1.2919 ดอลลาร์/ปอนด์
· ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.88 จุด หลังจากไปยืนเหนือ 98.3 จุดในช่วงต้นตลาด
โดยดัชนีดอลลาร์ร่วงลงไปทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์หลังจากที่ภาคการผลิตสหรัฐฯหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนพ.ย. แตะระดับ 48.1 จุด จาก 48.3 จุดในเดือนก่อนหน้า รวมทั้งค่าใช้จ่ายภาคการก่อสร้างที่ร่วงลงเกินคาดกว่า 0.8% ในเดือนต.ค. อันเนื่องจากโปรเจ็คการลงทุนในภาคเอกชนลดลงทำต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี จึงจุดประกายความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ขณะที่ก่อนทราบข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดอลลาร์ก็ได้อ่อนค่าจากข่าวที่ นายทรัมป์ ประกาศจะกลับมาเก็บภาษีสินค้านำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศบราซิลและอาร์เจนตินา เพื่อเป็นการตอบโต้กับการที่ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าและสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรสหรัฐฯ
ในขณะที่รายงานภาคการผลิตล่าสุดของฝั่งยุโรปอยู่ในแนวโน้มเชิงบวกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นจากอังกฤษ, เยอรมนี, สเปน และฝรั่งเศสที่ต่างก็ดีขึ้นเกินคาดสวนทางกับข้อมูลของสหรัฐฯจึงเป็นปัจัยกดดันดอลลาร์นั่นเอง
· หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Martin Currie กล่าวว่า การที่นายทรัมป์จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากบราซิลและอาร์เจนตินามาโดยอ้างเหตุที่ทั้งสองประเทศมีค่าเงินที่อ่อนค่ามากเกินไปกระทบต่อเกษตรกรของสหรัฐฯนั้น ในแท้จริงแล้วเกษตรกรถือเป็นหัวใจสำคัญในการหาเสียงของนายทรัมป์เพื่อรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีที่จะเข้าสู่วาระการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนพ.ย.ปี 2020 ดังนั้น พวกเขาจึงเน้นให้ความสำคัญกับข้อพิพาททางการค้าในด้านการแข่งขันต่อสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่าบราซิลและอาร์เจนตินาดูจะได้เปรียบในเรื่องนี้มากกว่าประเด็นขัดแย้งกับทางจีน โดยเฉพาะบราซิลที่มีสินค้าในกลุ่มถั่วเหลืองจำนวนมากและน่าจะได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แทนที่ถั่วเหลืองจากสหรัฐฯในการขายให้แก่จีนนั่นเอง
· รายงานล่าสุดจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะทำการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากฝรั่งเศส 100% มูลค่า 2.4 พันล้านเหรียญในกลุ่มแชมเปญ, กระเป๋าถือ, ชีส และสินค้าต่างๆ หลังจาที่ภาษีบริการกลุ่มดิจิตอลฉบับใหม่ของฝรั่งเศสดูจะสร้างผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
· รายงานจาก CNBC บอกว่า ขณะนี้ตลาดกำลังเข้าสู่สภาวะยากลำบากและยังคงรอคอยความชัดเจนว่าทีมบริหารของนายทรัมป์จะทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนครั้งใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้หรือไม่ โดยยังคงมุ่งติดตามความคืบหน้าในการเจรจา แม้ว่าล่าสุดจะมีข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯเพิ่มระหว่างสหรัฐฯและบราซิลกับอาร์เจนตินา
นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่าสหรัฐอาจมีการขึ้นภาษีสินค้าจีนอื่นๆได้ หากจีนยังไม่มีข้อตกลงกับสหรัฐฯภายในวันที่ 15 ธ.ค.นี้
บรรดานักวิเคราะห์มองว่าเดือนนี้เป็นเดือนแห่งการรอคอยการตัดสินใจของทางสหรัฐฯและจีนว่าจะมีทิศทางเช่นใด และผลสะท้อนทั้งหมดจะส่งต่อไปยังปีหน้า ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งผลที่ดีกว่าสำหรับภาคการผลิตหรือผลประกอบการทั่วโลก และแม้แต่สภาวะการค้า แต่ในสภาวะปัจจุบันการที่จะมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าต่อประเทศบราซิลและอาร์เจนตินานั้น น่าจะทำให้นักลงทุนไม่ได้มองสภาวะ Trade War เป็นในเชิงบวกมากอย่างที่คิดแล้ว
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางส่วน ยังมองว่าข้อตกลงการค้าอาจยุติการเจรจารอบต่อไปได้โดยขึ้นอยู่กับการขึ้นภาษีในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ที่จะมีผลบังคับใช้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะภาพรวมยังมีความไม่ชัดเจนว่าทีมบริหารของนายทรัมป์จะยกเลิกภาษีบางส่วนตามข้อเรียกร้องของจีนหรือไม่ และก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะตกลงต่อสินทรัพย์ทางปัญญาอย่างไร
· หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจาก QMA ระบุว่า ภาวะ Trade War ตอนนี้ไม่อาจจะคาดเดาได้ และในความเป็นจริงแล้วก็ยากที่จะนำเงินลงทุนเข้ามาสู่สภาวะที่ไม่แน่นอนในเวลานี้ ซึ่งหลายๆครั้งที่มีการเจรจาการค้าก็จะเห็นได้ว่ามีการขึ้นภาษีเพิ่ม 25% แต่การเจรจาในเวลานี้ต้องรอดูการตอบรับครั้งใหญ่เมื่อผ่านกำหนดเส้นตาย 15 ธ.ค.นี้ออกไปก่อน ขณะที่ข้อมูลภาคการผลิตที่ออกมาแย่ แม้ว่าข้อมูลจีนจะบวก แต่การทำข้อตกลงการค้าก็ยังถือเป็นเรื่องจำเป็นของทั้งสองประเทศ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% จากการที่กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรที่อาจเห็นพ้องกันในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในการประชุมสัปดาห์นี้ ท่ามกลางข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตที่สดใสมากขึ้นของจีนที่บ่งชี้ถึงภาวะอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง
น้ำมันดิบ Brent ปิด +0.7% หรือปรับขึ้น 43 เซนต์ ปิดที่ระดับ 60.92 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิด +1.4% ที่ระดับ 55.96 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบอ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากที่มีรายงานว่าข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯหดตัวลงในเดือนพ.ย. ประกอบกับรายงานที่นายทรัมป์ทำการประกาศสิ่งที่ไม่คาดคิด เกี่ยวกับแผนการที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศอาร์เจนตินาและบราซิล