• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2562

    6 ธันวาคม 2562 | Economic News

 


· ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลการผลิตสหรัฐฯที่ประกาศโดย ISM ที่ออกมาแย่กว่าที่คาด ในณะที่ค่าเงินปอนด์และยูโรอยู่ในทิศทางแข็งค่า โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 97.436 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ 1.1102 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านค่าเงินเยนแข็งค่าลง 0.1% ที่ 108.76 เยน/ดอลลาร์

ภาพรวมเชื่อตลาดรอคอยประชุมเฟดสัปดาห์หน้าที่มีกระแสคาดการณ์ว่าจะยังคงดอกเบี้ยในการประชุมวาระนี้ออกไปก่อน หลังจากที่ทำการปรับลดดอกเบี้ยลงไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็เชื่อว่าอาจเห็นเฟดกลับมาพิจารณาท่าทีในการดำเนินนโยบายได้ใหม่ หากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาไม่ดีนัก

นอกจากนี้ ค่าเงินยังผันผวนในกรอบแคบๆ จากความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อน 15 ธ.ค.นี้หรือไม่ หรือจะเดินหน้าเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจีนต่อ และตลาดมุ่งประเด็นไปที่ผลกระทบว่าจะส่งผลเช่นไร

อย่างไรก็ดี แม้ข้อมูลยอดคำสั่งเยอรมนีจะออกมาไม่ดีนักในเดือนต.ค. แต่ข้อมูลภาคการผลิตในยูโรโซนก็ดูจะดีขึ้นกว่าที่คาดเมื่อเทียบกับภาคการผลิตสหรัฐฯ ดังนั้น ข้อมูลรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯจะออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์เท่าไรนัก

· นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์อาจถูกกดดันต่อในปีหน้าได้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงบั่นทอนอุปสงค์โลก ขณะที่กลุ่มผู้ส่งออกในยุโรป และสภาพเศรษฐกิจของยุโรปอาจได้รับประโยชน์หากความตึงเครียดทางการค้ายังคงมีอยู่ และในสภาวะเช่นนั้น ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ก็ดุจะมีโอกาสปรับแข็งค่าขึ้นต่อได้อย่างชัดเจน

· รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า สหรัฐฯและจีนยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตร โดยนายทรัมป์มีการเรียกร้องให้จีนทำการเข้าซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯเพิ่มจาก 4 หมื่นเหรียญ สู่ระดับ 5 หมื่นเหรียญ/ปี ซึ่งจะเป็นการเข้าซื้อที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 8.6 พันล้านเหรียญในปีที่แล้ว และแหล่งข่าวใกล้ชิดยังเผยอีกว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้จีนทำการประกาศแผนการเข้าซื้อดังกล่าว โดยไม่เป็นการขึ้นอยู่กับสภาวะเงื่อนไขของตลาดหรือภาระผูกพันของจีน

ท่ามกลางการเจรจาขั้นสุดท้ายของข้อตกลงเฟสแรกเกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่ม 15% ที่ระดับ 1.65 แสนล้านเหรียญ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้

· โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า ยังคงมีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯอยู่ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก แต่จีนก็เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงกันได้สำหรับข้อตกลงดังกล่าว แต่ระดับภาษีทางการค้าก็ต้องมีการปรับลดลงด้วยเช่นกัน

รายงานจาก CNBC ระบุว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของรัฐมนตรีจีนคนดังกล่าวดูจะเป็นการกล่าวย้ำถึงท่าทีของจีนในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะทำข้อตกลงการค้าด้วย หากสหรัฐฯมีการยกเลิกภาษีสินค้าบางส่วนซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการเกิดข้อตกลงการค้าเฟสแรกนั่นเอง ขณะที่ถ้อยแถลงของเขาเกี่ยวกับการเจรจาการค้าที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็มีรายละเอียดความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

· นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ มีความเห็นว่า ธนาคารโลกควรยกเลิกโครงการสนับสนุนปล่อยเงินกู้ในกับประเทศจีนเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง

นอกจากนี้ การที่นายเดวิล มัลพาส อดีตรองรัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ได้รับเลือกให้เป็นประธานธนาคารโลกเมื่อต้นปีนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทางธนาคารโลกจะพิจารณาดำเนินการเช่นนั้น

นักวิเคราะห์จาก Akin Gump มีมุมมองว่า การที่ธนาคารโลกสนับสนุนเงินกู้ให้กับประเทศจีน เปรียบเสมือนสหรัฐฯและประเทศอื่นๆให้การสนับสนุนโครงการ “Belt and Road” ของจีนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่ทางจีนก็ยกตนเองว่าเทียบเท่ากับสหรัฐฯและจีนก็ไม่ได้ถือว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป ดังนั้น จีนก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน

· หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก UBS Global Wealth Manangement ประจำ APAC กล่าวว่า การเติบทางเศรษฐกิจโลกจะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4/2020 ท่ามกลางภาวะ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูจะผ่อนคลายลงไป และการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางต่างๆก็ดูจะเห็นผลมากขึ้น โดยจะเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากที่สุดคือสงครามการค้า และการที่ต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษีต่อกันนั้นถือเป็น “ความเสี่ยงที่สำคัญ”

· คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้เปิดเผยรายงานจำนวน 300 หน้า ที่สรุปว่าพบหลักฐานชี้ชัดการละเมิดกฎหมาย และความพยายามในการกดดันผู้นำยูเครน ให้สอบสวนจัดการทางกฎหมายต่อบุตรชายของนายโจไบเดน อดีตรองประธานาธิบดี โดยข้อสรุปของรายงานภายใต้ชื่อว่า The Trump-Ukraine Impeachment Inquiry Report ใน 300 หน้า มากจากการรวบรวมข้อมูลและจากการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการ



รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า "ผลการไต่สวนเพื่อถอดถอนผู้นำสหรัฐพบว่า นายทรัมป์ ได้ใช้อำนาจในการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างชัดเจน การกระทำของนายทรัมป์ ถือเป็นการล้มล้างนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และยกประโยชน์ส่วนตนมากกว่าความมั่นคงของชาติ"

· รัฐบาลฮ่องกงประกาศออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 4 เดือน โดยจะเป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเป็นมูลค่า 4 พันล้านฮ่องกงดอลลาร์ (511 ล้านเหรียญ) มุ่งเน้นไปยังภาคการท่องเที่ยว ค้าปลีก และขนส่ง ทำให้มูลค่ารวมทั้งหมดของการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 25 พันล้านฮ่องกงดอลลาร์ (3.2 พันล้านเหรียญ)

รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และเศรษฐกิจแห่งฮ่องกง ระบุว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก เนื่องจากฮ่องกำลังเผชิญภาวะแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั้งจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการประท้วงในประเทศ

· ราคาน้ำมันดิบปิดทรงตัว แม้ว่าบรรดาโอเปกและประเทศสมาชิกนอกโอเปกจะมีแผนปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อยับยั้งภาวะอุปทานล้นตลาด ซึ่งข้อตกลงอาจมีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2020 โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 39 เซนต์ หรือ +0.6% ที่ระดับ 63.39 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดทรงตัวที่ 58.43 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไปทำระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนก.ย. ในช่วงต้นตลาด



· รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของประเทศรัสเซีย เผยว่า กลุ่มโอเปกและสมาชิกนอกโอเปก มีการเสนอจะทำการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 500,000 บาร์เรล/วันในไตรมาสแรกของปีหน้า โดยจะสิ้นสุดการปรับลดดังกล่าวในเดือนมี.ค. 2020 ทำให้ภาพรวมจะมีการปรับลดการผลิตเพิ่มที่ระดับ 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 1.7% ของภาวะอุปทานโลก จากข้อตกลงเดิมที่มีการปรับลดกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน

อย่างไรก็ดี กลุ่มโอเปกจะทำการโหวตข้อตกลงดังกล่าวในที่ประชุมวันนี้ต่อ



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com