· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยความคืบหน้าครั้งใหม่ของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนฉบับแรกก่อนการขึ้นภาษีครั้งใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ โดยภาพรวมดัชนีดอลลาร์ปิดปรับขึ้นเล็กน้อย 28.01 จุด หรือ +0.1% ที่ 27,677.79 จุด ทางด้าน S&P500 ปิด +0.15% ที่ 3,117.43 จุด และ Nasdaq ปิด +0.05% ที่ 8,570.7 จุด
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดูจะเป็นกำลังหลักที่ช่วยหนุนให้ 3 หุ้นดัชนีหลักปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังคงดำเนินต่อไปด้วยทิศทางที่ดี
ตลาดกำลังรอดูว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงเฟสแรกได้หรือไม่ก่อนวันที่15 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นกำหนดการที่สหรัฐฯจะทำการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนรอบใหม่
อย่างไรก็ดี ตลาดก็ยังคงติดตามสภาวะการเมืองของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน ท่ามกลางสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯที่มีการเตรียมร่างการไต่สวนเพื่อถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวสูงขึ้นในเช้าวันนี้ก่อนการประกาศข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯประจำเดือนพ.ย.ในคืนนี้ ขณะที่ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.19% และ Topix เปิดปรับตัวสูงขึ้น ทางด้าน Kospi เปิด +0.57% และดัชนี S&P/ASX200 เปิด +0.1%
สำหรับภาพรวมดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิดปรับขึ้น 0.19%
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 30.20-30.35 บาท/ดอลลาร์
- รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดได้เปลี่ยนไปจากเดิม คือ ค่าเงินของภูมิภาครวมถึงค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง นักลงทุนในตลาดโลกเลือกที่จะเปลี่ยนมุมมองในการมองทิศทางของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงค่าเงินบาทด้วย จึงเห็นว่าในช่วงหลังค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่ง และจะมีทิศทางที่กลับทิศแล้ว ซึ่งไม่ได้มาจาก ธปท.เข้าไปแทรกแซง แต่เป็นการคาดการณ์ของตลาดเองที่มองว่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้
- ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คาดทิศทางเศรษฐกิจในปี 63 น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากชะลอตัวมากในปีนี้ เนื่องจากภาครัฐจะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ซึ่งจะทำให้มีการลงทุนในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ขณะที่นักธุรกิจจะเริ่มลงทุนจริงหลังได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ส่วนการค้าขายสินค้าในกลุ่ม CLMV ยังพอไปได้โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่การท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีตามที่คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคนเพื่อจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว และได้ปรับเกณฑ์ 4 มาตรการเพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาทนั้น กกร.เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมาอาจช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในระยะสั้น จึงขอให้ ธปท.พิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs และหากยังปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบในระยะยาว
- ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังขาดแรงหนุนให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยนอกจากนี้ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ยังมีผลต่อการลงทุนของภาครัฐ และเป็นข้อจำกัดหากรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
- รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยต่างชาติลงทุนจากการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในช่วง 11 เดือนของปี 62 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 22,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปีนี้มีคนต่างชาติลงทุนประกอบธุรกิจในโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง อาทิ บริการขุดเจาะปิโตรเลียม บริการออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบ ทดสอบ และบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้า บริการติดตั้ง ตรวจสอบ ทดสอบระบบและให้การสนับสนุนทางเทคนิคดาวเทียมสำรวจทรัพยากร เป็นต้น
- อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทย เผยผลเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี ครั้งที่ 6 คืบหน้า โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค้าการค้าระหว่างสองประเทศขยายตัวสู่ 2,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 63