· ค่าเงินดอลลาร์ถือเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. ซึ่งมีอัตราการปรับตัวลดลงมากที่สุดเกือบ 1% โดยถูกฉุดรั้งจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน รวมทั้งภาวะความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ และค่าเงินในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงปรับแข็งค่า
โดยค่าเงินเยน และสวิสฟรังก์มีความต้องการถือครองมากขึ้นจากกลุ่มนักลงทุน จากมุมมองที่ว่าข้อมูลจ้างงานในวันนี้อาจออกมาแย่กว่าที่คาดและจะยิ่งตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแรง ในขณะที่ตลาดรอคอยผลเลือกตั้งอังกฤษสัปดาห์หน้าและการประชุมเฟด รวมทั้งข่าวของ Trade War
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯยังคงมีมุมมองบวกต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอยู่ แต่ตลาดก็ยังคงมีความกังวลในส่วนของการเจรจาระหว่างกัน โดยที่เจ้าหน้าที่่จากจีนก็ยังมีท่าทีย้ำชัดว่าข้อตกลงจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการยกเลิกภาษีบางส่วน แต่สหรํฐฯก็ดูไม่มีสัญญาณใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
· ตลาดให้ความสำคัญกับข้อมูล Non-Farm Payrolls ในคืนนี้ หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบางส่วนยังคงสะท้อนถึงการอ่อนตัว ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานภาคเอกชน, กิจกรรมภาคบริการ และการหดตัวของภาคการผลิต
ค่าเงินยูโรแข็งค่าอีก 0.8% มาแถว 1.1106 ดอลลาร์/ยูโร ในขณะที่ค่าเงินเยนล่าสุดแข็งค่ามาที่ 108.68 เยน/ดอลลาร์
สำหรับเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดรอบ 2 ปีครึ่งเมื่อเท่ียบยูโรที่ 84.28 เพนซ์/ยูโร ขณะที่แข็งค่าขึ้น 1.7% เมื่อเทียบดอลาร์ที่ 1.3154 ดอลลาร์/ยูโร
· รายงานจาก DailyFX ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยทำให้ภาพรวมสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนต.ค. โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเงินยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเงินปอนด์หรือยูโร โดยตลาดให้ความสำคัญและรอผลการเลือกตั้งอังกฤษสัปดาห์หน้าที่ดูเหมือนพรรคอนุรักษ์นิยมจะคว้าชัยในศึกนี้ได้ และทำให้โอกาสที่นายบอริส จอห์นสัน จะผลักดันข้อตกลง Brexit ให้ผ่านรัฐสภามีโอกาสมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ กำหนดเส้นตาย 15 ธ.ค. นี้ ต้องรอดูว่านายทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้าจีนในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่ ในขณะที่เขาเองก็ให้สัญญาณว่าการเจรจากับจีนนั้นค่อนข้างดี ทางด้านรายงานจาก Dow Jones ก็ดูจะมีมุมมองว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการเข้าซื้อสินค้าเกษตร
สำหรับทิศทางค่าเงินดอลลาร์
จะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่อ่อนค่าลงมาอย่างเห็นได้ชัด และดูมีโอกาสมากขึ้นที่จะกลับทดสอบแนวรับสำคัญในเดือนก.ย. ปี 218 ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาเลยก็ว่าได้ แต่หากไม่หลุดก็ดูมีโอกาสเห็นค่าเงินดอลลาร์นั้นรีบาวน์กลับขึ้นมาได้
· รายงานจาก Xinhua ระบุว่า จีนจะผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเม็ดถั่วเหลือง เนื้อหมู และสินค้าบางรายงานจากสหรัฐฯ
· หัวหน้าฝ่ายการลงทุนและนักกลยุทธ์บริหารพอร์ตจาก Wealth Presevation กล่าวว่า นักลงทุนไม่ควรหลงเชื่อคำสัญญาใดๆของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในเวลานี้จริงๆคือการยุติภาวะ Trade War แต่ก็อาจเห็นความตึงเครียดเพิ่มขึ้นได้เช่นกันจากนายทรัมป์ โดยภาพรวมเชื่อว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนจะยังดำเนินต่อไป และข้อตกลงเฟสแรกก็จะสามารถผ่านมติจากทั้งสองฝ่าย และหากเป็นเช่นนั้น
1. หุ้นทั่วโลก (ยกเว้น หุ้นจีน และฮ่องกง) จะปรับตัวสูงขึ้น
2. แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปรับตัวสูงขึ้น
และการเจรจาครั้งนี้หากทำให้สหรัฐฯตัดสินใจไม่เก็บภาษีสินค้าจีนในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ได้แน่นอนว่าตลาการเงินของสหรัฐฯจะตอบรับในทิศทางเชิงบวก แต่ก็ต้องระวังการตัดสินใจของนายทรัมป์ เพราะดูว่าเขาจะชื่นชอบเม็ดเงินที่หลั่งไหลจากการเก็บภาษีประเทศคู่ค้าเข้าสู่ภาคบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยอดรวมขณะนี้สามารถจ่ายตราสารหนี้หรือยอดหนี้สุทธิของสหรัฐฯได้มากถึง 1 ใน 4
คาดการณ์ปี 2020: ตลาดน่าจะไม่ตอบรับกับ Trump Trade War มากนัก หรือไม่ก็เห็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนนั้นปรับตัวลง จึงทำให้ตลาดลดมุมมองเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าที่จะเกิดขึ้นก็เป็นไปได้
· หลังจากที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมาสามารถขยายตัวได้ในระดับปานกลาง บรรดานักวิเคราะห์ที่ร่วมตอบแบบสอบถามของ Reuters ส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองว่า สหรัฐฯและจีนจะสามารถร่วมลงนามในข้อตกลงการค้าร่วมกันได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ขณะที่เสียงส่วนน้อยมองว่าอาจใช้เวลาอีก 6 เดือน – 1 ปี
· นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Realtor.com กล่าวว่า ยอดขายบ้านสหรํฐฯมีแนวโน้มจะปรับตัวลง และมีภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัยเข้ามาที่อาจกลายเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และมูลค่าบ้านที่อาจหดตัวลงในบางพื้นที่ ซึ่งการคาดการณ์ของทาง Realtor.com ถือเป็นหนึ่งในข้อมูลสถิติที่อยู่อาศัยรายใหญ่ที่น่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ ยอดขายบ้านมือสองมีแนวโน้มจะปรับตัวลง 1.8% จากปี 2019 ขณะที่ราคาบ้านจะทรงตัวหรือปรับขึ้นได้เพียง 0.8% เมื่อเทียบรายปี แต่ราคาบ้านในบางเขตมีโอกาสจะร่วงลง 0.25% จากตลาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นในเขตชิคาโก, ดัลลัส, ลาสเวกัส, ไมอามี, เซนหลุยส์, ดีทรอย และซานฟรานซิสโก
อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีความแข็งแกร่งและมีกำลังเข้าซื้อของผู้ซื้ออยู่ แต่วัฎจักรของตลาดที่อยู่อาศัยดูจะได้รับผลจากภาวะความผันผวนทางการเงิน โดยในปี 2020 จะเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของกลุ่มผู้ซื้อ ไม่เพียงแต่ความสามารถในการซื้อบ้าน แต่ยังรวมถึงการที่อาจจะไม่สามารถหาซื้อได้ก็ตาม
· บรรดานักเศรษฐศาสตร์ “ค่อนข้างมั่นใจ” ว่าเศรษฐกิจยูโรจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัวไปได้อีกสำหรับ 2 ปีข้างหน้า โดยคงคาดการณ์โอกาสเกิดภาวะชะลอตัวไว้ที่ 30% แต่มองว่าอัตราเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ค่อนข้างซบเซา
สำหรับการประชุมอีซีบีวันที่ 12 ธ.ค. นี้ คาดว่าทางธนาคารกลางจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายแต่อย่างใด และอาจมีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับเปลี่ยนนโยบายไปอีก 2 ปี
· การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในญี่ปุ่นชะลอตัวลง -5.1% ในเดือน ต.ค. ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี และชะลอตัวด้วยอัตราที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ปี 2016 ท่ามกลางผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของภาครัฐ และผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
· ผลสำรวจโดย Reuters พบว่าบรรดาผู้ประกอบการในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คาดการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัวลงหลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 หลังจากที่เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ท่ามกลางแรงหนุนก่อนถึงการแข่งขัน จึงเกิดเป็นกระแสเรียกร้องให้ภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนรอการประชุมโอเปกและพันธมิตร ซึ่งคาดว่าจะมีข้อตกลงปรับลดกำลังผลิตลงอีกในช่วงต้นของปี 2020
แม้ในการประชุมเฉพาะกลุ่มโอเปกเมื่อวานนี้ จะมีมติปรับลดกำลังการผลิต แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่เกินเดือนมีนาคมปีหน้า นักวิเคราะห์จึงตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการปรับกำลังการผลิตครั้งนี้
น้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ระดับ 63.29 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 7 เซนต์ หรือ 0.1% ที่ระดับ 58.36 เหรียญ/บาร์เรล เมื่อวานทำระดับสูงสุดที่ 59.12 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า ภาพของราคาน้ำมันดิบดูจะทยอยปรับตัวขึ้นได้อีกจากแผนของกลุ่มโอเปกในการช่วยพยุงราคาน้ำมันในตลาด และระยะสั้นๆก็ดูจะมีโอกาสเห็นราคาปรับตัวขึ้นได้ต่อจากผลประชุมดังกล่าว ซึ่งตราบเท่าที่ราคายืนเหนือแนวรับ 57.16 เหรียญ/บาร์เรล ก็ดูมีแนวโน้มที่จะเห็นราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ต่อนั่นเอง