· ค่าเงินยูโรทรงตัวเมื่อเทียบดอลลาร์ และถือเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดของดอลลาร์นับตั้งแต่กลางเดือนต.ค. อันเป็นผลจากความกังวลเรื่อง Trade War และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยดัชนีดอลลาร์ไปทำต่ำสุดรอบ 1 เดือนที่ 97.355 จุด ก่อนจะปิดทรงตัวที่ 97.424 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1102 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.2% ที่ 1.3129 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยตลาดจับตาการเลือกตั้งอังกฤษว่าจะยุติความไม่แน่นอนของ Brexit ได้ในเร็วๆนี้หรือไม่
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนเดินหน้าไปด้วยดีแต่ก็มีโอกาสเห็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนในสัปดาห์นี้ได้
หัวหน้านักลงทุนจาก Boston Private มองว่า ตลาดสหรัฐฯมีความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษี 15 ธ.ค. ที่จะมีผลบังคับใช้ แต่ภาพรวมก็มองว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าเกิดขึ้นก่อนช่วงสิ้นปี เพราะจะทำให้นักลงทุนเลือกที่จะไม่ลงทุนหากเกิดการขึ้นภาษีในเวลานี้
· ผลการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯประจำเดือนพ.ย. ปรับตัวสูงขึ้นเกินคาดแตะ 266,000 ตำแหน่ง
ในขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลงแตะ 3.5% จาก 3.6% ทำให้อัตราว่างงานล่าสุดกลับมาทำต่ำสุดของปีนี้อีกครั้ง และไปสอดคล้องกับระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1969 และข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับข้อมูลค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงออกมาดีขึ้นที่ 3.1% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินไว้ที่ 3%
· รายงานจาก Forbes News ระบุว่า จีนและสหรัฐฯยังไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการเพิ่มยอดส่งออกถั่วเหลือง แต่จีนก็มีการตัดสินใจที่จะปรับลดภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมู ซึ่งดูจะเป็นข่าวดีและสัญญาณความเป็นไปได้สูงที่อาจเห็นสหรัฐฯไม่ทำการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.นี้
โดยหลังจากที่ตลาดเอเชียปิดวันศุกร์ ทางคณะกรรมาธิการกำกับดูแลกรมศุลากรจีนมีการประกาศยกเว้นการเก็บภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมูจากระดับที่เก็บอยู่ในปัจจุบัน และทำให้เกิดมุมมองต่อตลาดที่ว่าท่าทีของจีนดังกล่าวดูจะเป็นการสนับสนุนการเจรจาของจีนต่อเนื่อง
· นักวิเคราะห์จาก CNBC รายงานในมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยรายการ Mad Money ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯดูท่าจะเดินหน้าขึ้นภาษีตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ หลังจากที่ข้อมูลจ้างงานในเดือนพ.ย.ออกมาดีขึ้นกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ และจากมุมมองคือ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวได้โดยปราศจากเงินเฟ้อ ก็มีโอกาสที่ทรัมป์จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อการเจรจาการค้า จึงทำให้อาจเห็นการขึ้นภาษีระหว่างนี้เพื่อรอให้รัฐบาลจีนยอมที่จะประนีประนอม หรืออาจรอเจรจาหลังจากเลือกตั้ง หรืออาจเป็นได้ทั้ง 2 กรณี ซึ่งดูเหมือนทีมบริหารทรัมป์จะมีความมุ่งมั่นต่อการขึ้นภาษี เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อจะยิ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจจีนมากขึ้นกว่าของที่ทางสหรัฐฯได้รับ
· ยอดส่งออกจีนประจำเดือนพ.ย. ปรับตัวลดลง 1.1% เมื่อเทียบรายปี และทำให้ภาพรายเดือนร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยได้รับผลกระทบจาก Trade War จากเดิมเดือนก่อนหน้ามีการปรับลงไป 0.9%
ทางด้านยอดนำเข้าขยายตัวได้ 0.3% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นการขยายตัวได้เป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และเป็นเพียงครั้งที่ 2 ของปีที่ออกมาดีขึ้นสูงกว่าที่ผลสำรวจของ Bloomberg คาดการณ์ไว้ และภาพรวมยอดดุลการค้าจีนในเดือนพ.ย. ทรงตัวที่ 2.46 หมื่นล้านเหรียญ ลดลงจาก 2.645 หมื่นล้านเหรียญในเดือนต.ค.
ผู้อำนวยการฝ่ายสถิติและการวิเคราะห์จากกรมศุลกากรจีน กล่าวว่า เศรษฐกิจทั่วโลกและปัญหา Trade War เป็นผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวในปีนี้ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจจีนก็ยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ดี กรมศุลกากรจีน สรุปว่า จีนมียอดดุลการค้ากับสหรัฐฯลดลง 15.2% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งแรกในรอบ 11 เดือนของปีนี้ ขณะที่ยอดส่งออกกับสหรัฐฯลดลง 12.5% และยอดนำเข้ากับสหรัฐฯลดลงกว่า 23.3%
· ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีน กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีโอกาสปรับตัวลดลงต่ำกว่า 6% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยน่าจะเติบโตได้ระหว่าง 5-6% ในช่วงปี 2020-2025
· หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง Mobius Capital Parters กล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC โดยระบุว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) เดินหมากผิดในการคงระดับอัตราดอกเบี้ยไว้คงเดิมในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่ระดับ 5.15% ท่ามกลางบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่คาดหวังว่าจะเห็นธนาคารกลางอินเดียทำการปรับลดดอกเบี้ยจำนวน 6 ครั้ง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะชะลอตัว ดังนั้น การกระทำดังกล่าวของพวกเขาดูจะทำให้สถานการณ์ระยะสั้นๆมีผลต่อเงินเฟ้อที่จะกระทบต่อราคาอาหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาของหัวหอม
ในขณะที่การปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยฟื้นฟุความเชื่อมั่นภาคธุรกิจภายในประเทศได้ รวมทั้งอาจช่วยแก้ไขปัญหาบางส่วนของปัญหาหนี้สินในระบบภาคการเงินของอินเดียได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในเดือนต.ค. อินเดียมียอดเงินเฟ้อในหมวดค้าปลีกรายปีเพิ่มสูงขึ้นแตะ 4.62% จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาอาหารในอินเดียเพิ่มสูงขึ้น และระดับดังกล่าวยังสูงกว่าที่ธนาคารกลางกำหนดเป้าหมายระยะกลางของเงินเฟ้อไว้ที่ 4%
· เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ระบุว่า จะไม่พูดคุยกับสหรัฐฯ ในประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และการเจรจากันแบบต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น เพราะจะเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในการเลือกตั้งปีหน้า
· การประท้วงในฮ่องกงยืดเยื้อเข้าสู่เดือนที่ 6 และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนขบวนอีกครั้ง พร้อมกล่าวประณามรัฐบาลที่ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของประชาชนทั้ง 5 ข้อ ได้แม้แต่ข้อเดียว
· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลสำรวจคะแนนความนิยมเลือกตั้งที่พบว่าพรรคแรงงานฝ่ายค้านมีคะแนนความนิยมตีตื้นพรรคอณุรักนิยมของเขาขึ้นมาเรื่อยๆ แม้พรรคอณุรักนิยมจะยังมีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 ในโพลสำรวจรายใหญ่ๆก่อนถึงการเลือกตั้งในวันที่ 12 ธ.ค.ก็ตาม
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงในคืนวันศุกร์ โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 18 เซนต์ ที่ 63.21 เหรียญ/บาร์เรล แต่ภาพรวมตลอดสัปดาห์อยู่ในแดนบวกโดยปรับขึ้น 1.5% ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 33 เซนต์ ที่ระดับ 58.10 เหรียญ/บาร์เรล และสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นได้เกือบ 6%
ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกและประเทศสมาชิกนอกโอเปก อาทิ รัสเซีย เห็นพ้องในการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเพื่อลดภาวะอุปทานล้นตลาด ท่ามกลางสภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอจากปัญหา Trade War แต่ถึงแม้กลุ่มโอเปกจะขยายกำลังการปรับลดดังกล่าว แต่การดำเนินการจะสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. ปีหน้า และนั่นทำให้บรรดานักวิเคราะห์เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับผลกระทบหลังการควบคุมการผลิตครั้งล่าสุด
อย่างไรก็ดี ในปีหน้าจากที่บรรดากลุ่มโอเปก+ จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม 500,000 บาร์เรล/วัน ในช่วงไตรมาสแรกเท่านั้น โดยเป็นการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มจากข้อตกลงเดิมที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน คิดเป็น 1.7% ของกำลังการผลิตทั่วโลก