· ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงในช่วงต้นตลาด โดยทำต่ำสุดแถว 1.3107 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนทรงตัวที่ 1.3140 ดอลลาร์/ปอนด์ (เมื่อวานนี้ทำ High รอบ 8 เดือนครึ่งที่ 1.3215 ดอลลาร์/ปอนด์) หลังโพลล์ชี้ว่ามีกรอบแคบลงที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษ์นิยมจะคว้าชัยในการเลือกตั้งพรุ่งนี้ ขณะที่ดอลลาร์เคลื่อนไหวกรอบแคบๆรอประชุมเฟด
กลุ่มนักลงทุนก็ยังรอดูว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเกือบ 1.6 แสนล้านเหรีญญหรือไม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าสหรัฐฯจะทำการเลื่อนภาษีดังกล่าวออกไปเพื่อให้การเจรจาทำข้อตกลงกับจีนยังดำเนินต่อไปได้
นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายการตลาดจาก Sumitomo Mitsui Trust Bank ระบุว่า ตลาดนิ่งก่อนจะแกว่งตัวแรง โดยตลาดเชื่อกันว่าการขึ้นภาษีรอบล่าสุดจะสามารถหลีกเลี่ยงไปได้
ผลสำรวจจาก YouGov ล่าสุดสะท้อนว่าพรรคอนุรักษ์นิยมน่าจะคว้าเก้าอี้เพิ่มขึ้นมาได้เพียง 28 ที่เท่านั้น จากผลสำรวจก่อนหน้าที่คาดจะเพิ่มได้ 68 ที่นั่ง
ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 108.74 เยน/ดอลลาร์ ด้านยูโรทรงตัวที่ 1.1094 ดอลลาร์/ยูโร หลังข้อมูลผลสำรวจของ ZEW เผยให้เห็นถึงความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้นตัวในเดือนธ.ค.ของเยอรมนี และไปทำระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี บริเวณ 10.7 จุด จาก -2.1จุดในเดือนก่อนหน้า
สำหรับดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงเล็กน้อยมาที่ 97.496 จุด โดยอยุ่ไม่ห่างจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 1 เดือนบริเวณ 97.35 จุด
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวลดลงในวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยข้อมูลอัพเดตจากการประชุมเฟด โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นประมาณ 1.8312% ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับขึ้นแถว 2.2546%
ตลาดมุ่งให้ความสนใจต่อประเด็นความคืบหน้าทางการค้าโลก ท่ามกลางสัญญาณความขัดแย้งที่ยังคงผสมผสานกันเกี่ยวกับว่าสหรัฐฯจะตัดสินใจขึ้นภาษีสินค้าจีนในวันอาทิตย์นี้หรือไม่
ขณะที่เฟดถูกคาดว่าจะกล่าวถ้อยแถลงในช่วงเวลาประมาณตี 2 และตามด้วยประธานเฟดกล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆตามมา ซึ่งมีกระแสเป็นวงกว้างว่าจะเห็นเฟดคงดอกเบี้ยต่อ แต่นักลงทุนก็ดูจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดว่าเฟดจะส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 2% สำหรับปี 2020 หรือไม่ ควบคู่กับการรอดูข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯช่วง 20.30น.ในวันนี้ด้วยเช่นกัน
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ทางการจีนมีความคาดหวังที่จะเห็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเลื่อนการขึ้นภาษีรอบต่อไปในวันอาทิตย์ และเพื่อให้การเจรจาระหว่างสองประเทศสามารถดำเนินต่อไปได้มากขึ้นเพื่อให้สามารถใกล้ขั้นตอนการบรรลุผล แม้ว่าจะมีรายงานกล่าวอ้างถึงกำหนดเส้นตายส่วนใหญ่จากแหล่งข่าววงใน
ขณะท่ี่นายปีเตอร์ นาวาโร ที่ปรึกษาการค้าประจำทำเนียบขาว บอกว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์ยังคงมีสัญญาณขัดแย้งกันในเรื่องว่าตั้งใจจะทำข้อตกลงเพื่อเลื่อนภาษีดังกล่าวออกไปหรือไม่ และยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกำหนดการขึ้นภาษีจีนในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ด้วยมูลค่า 1.60 แสนล้านเหรียญ โดยที่สินค้าในกลุ่ีมผู้บริโภคที่ไม่น่าจะเกิดผลบังคับใช้ จะเป็นกลุ่มโทรศัพท์มือถือและของเล่น
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลากว่า 20 เดือนของสงครามการค้า สหรัฐฯมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมาแล้ว 25% มูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญ และอีก 15% สำหรับสินค้าอื่นๆอีกกว่า 1.10 แสนล้านเหรียญ และการเจรจาระหว่างกันยังคงดำเนินไป โดยที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจว่าจะสามารถลดระดับภาษีได้กว่าครึ่งหนึ่งหรือไม่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้า และอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดผ่อนคลายไป รวมทั้งเป็นการปูทางไปสู่การหารือต่อในภายภาคหน้า
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าเป็น “แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่เป็นแก้วที่มีขนาดเล็กลงและเริ่มมีรอยร้าว” บ่งชี้ถึงสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังมีแนซโน้มจะขยายตัวขึ้นได้อีก แต่ด้วยอัตราที่ช้าลง และมีปัจจัยที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงสัปดาห์นี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า คือแนวโน้มที่สหรัฐฯอาจเดินหน้าขึ้นภาษีจีนรอบใหม่ การเลือกตั้งในอังกฤษ และมุมมองของธนาคารกลางต่างๆที่มีเศรษฐกิจโลกไปในเชิงลบ
สำหรับผลการประชุมเฟดคืนนี้ มีแนวโน้มสูงที่เฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ย หลังจากเฟดปรับลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ถึง 3 ครั้ง ขณะที่คงมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในปีหน้า น่าจะเติบโตได้ที่อัตรา 2% ค่อนข้างใกล้เคียงกับอัตราเติบโตของปีนี้ ซึ่งต้องจับตาดูว่าเฟดจะมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ได้ถึงแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้าด้วยเช่นกัน
· รายงานจาก FXStreet ระบุว่า เฟดมีการกล่าวอ้างถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับมีเสถียรภาพมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วในทุกๆครั้ง เงินเฟ้อถือเป็นหนึ่งในทุกๆการประชุมเฟด และหลังจากการที่เฟดทำการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยมาแล้วถึง 3 ครั้งในปีนี้ ก่อนจะปรับท่าทีมาเป็นการคงดอกเบี้ย ก็ดูเหมือนจะมาจากการที่บรรดาสมาชิกเฟดมีมุมมองถึงภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเงื่อนไขการฟื้นตัวของตลาดแรงงานมีการฟื้นตัว ขณะที่เงินเฟ้อมีการขยับเข้าใกล้ 2% แม้ว่าความไม่แน่นอนจะยังมีอยุ่
ดังนั้น หลายๆนักวิเคราะห์จึงมองว่าหลักการใช้นโยบายการเงินที่ดีมักจะมีเรื่องการฟื้นตัวของเงินเฟ้อมาเกี่ยวข้องอย่างที่เคยใช้ QE และหากเงินเฟ้อมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เฟดก็ดูจะไปให้ความสนใจต่อเสถียรภาพด้านดัชนีราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะหากมีสัญญาณถึงภาวะถดถอยก็มีโอกาสที่เฟดจะเลือกดำเนินนโยบายผลักดันการขยายตัวต่อ
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ความไม่แน่นอนของสภาวะ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะสร้างมูลค่าและโอกาสสำหรับกลุ่มนักลงทุน แต่หากถามว่าจะเล่นอย่างไร นักลงทุนควรหยุดที่จะเล่นแต่ให้เปลี่ยนวิธีคิดมาเป็นการเริ่มลงทุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนจะสามารถสรุปกลยุทธ์การลงทุนใดๆได้ เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสิ่งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเลือกทำต่อไปคืออะไร เพราะแม้แต่คนใกล้ชิดก็ยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาจะทำจนกว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวผ่านทางทวิตเตอร์ หรือการประกาศตัดสินใจใดๆ
ดังนั้น กลุ่มนักลงทุนควรหยุดการคาดการณ์ต่อการเจรจาที่เกิดขึ้น และเริ่มต้นมองหาหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงๆในสภาวะแบบนี้
· นักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก Slatestone Wealth กล่าวว่า สหรัฐฯและจีนอาจมีความเป็นไปได้ที่จะประกาศเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าได้ในวันอาทิตย์น่ี้ โดยอาจเป็นรูปแบบการประกาศ 11 ชั่วโมงของข้อตกลงก่อนคืนวันอาทิตย์นี้ โดยสิ่งที่เราอาจเห็นคือการที่ทั้งสองฝ่ายอาจเผยว่า "เราทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว" หรือบรรลุข้อตกลงแล้วเป็นต้น ซึ่งจะนำไปสู่ท่าทีที่ดีที่ระบุถึง "สหรัฐฯจะไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีน" ตามมา และเมื่อนั้นเราก็จะเห็นตลาดฟื้นตัว
· หัวหน้านักวิเคราะห์ค่าเงินจาก Standard Chartered Bank กล่าวว่า ตลาดมีการคาดการณ์กันไว้ว่าจะเห็นการลงนามข้อตกลง เพราะหากไม่มีข้อตกลงเฟสแรกก็ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายน่าจะมีสัญญาณที่ดีต่อข้อตกลงการค้าเช่น พวกเรายังคงมีการเจรจากันต่อไปในขั้นตอนสุดท้าย หรือเรากำลังรอลงนามร่วมกัน ซึ่งภาษีสินค้าตามที่กำหนดไว้วันที่ 15 ธ.ค.นี้ แต่พวกเราก็ไม่ต้องการจะทำมัน ซึ่งอาจต้องเลื่อนออกไปก่อนอีก 6 เดือน เป็นต้น ซึ่งเรามองว่ามีอีกหลายทางมากที่จะเห็นการระงับการขึ้นภาษีออกไปก่อนจนกว่าจะลงนามข้อตกลงการค้ากันได้
· นักวิเคราะห์จาก DBS มองว่า การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถกำหนดเส้นตายสำหรับข้อตกลงเฟสแรกได้ โดยสหรัฐฯเองก็ดูมีความตั้งใจที่จะพบกับจีนในเรื่องยกเลิกภาษีสินค้าบางตัว หากมีการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่ม ดังนั้นในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นคือการที่สหรัฐฯตัดสินใจเลื่อนการเก็บภาษีออกไป
ในขณะเดียวกัน การเลื่อนเจรจาและภาษีของทั้งสองประเทศออกไปดูจะทำให้เงินหยวนมีเสถียรภาพมากขึ้นระหว่าง 7 - 7.10 หยวน/ดอลลาร์ ในขณะที่หยวนอ่อนค่าผ่าน 7 หยวน/ดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในเดือนส.ค. ท่ามกลางความตึงเครียดของสงครามการค้า
· โพลล์ผลสำรวจจาก Focaldata เผยว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีโอกาสชนะด้วยเสียงข้างมากในสภาที่เพิ่มขึ้น 24 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยน่าจะคว้าเก้าอี้ในสภาได้มากถึง 337 ที่นั่งจาก 650 ที่นั่ง ตามมาด้วยพรรคแรงงาน 235 ที่นั่ง และพรรค SNP อีก 41 ที่นั่ง ในขณะที่ LD จะมีที่นั่งประมาณ 14 เท่านั้น
· YouGov ได้เปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มผลการเลือกตั้งทั่วประเทศของอังกฤษ พบว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะชนะการเลือกตั้งโดยมีเสียงข้างมากถึง 28 เสียง ซึ่งต่ำกว่าระดับคาดการณ์เมื่อเดือนพ.ย.ที่68 เสียง
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า พรรคอนุรักษ์นิยมจะกวาดที่นั่งในรัฐสภาอังกฤษได้ถึง 339 ที่นั่งจากทั้งหมด 650 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจาก 317 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2017 แต่ลดลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนก่อนที่ระดับ 359 ที่นั่ง
ขณะที่พรรคแรงงานของนายเจเรมี คอร์บิน คาดว่า จะได้ 231 ที่นั่งในสภา ซึ่งลดลงจาก 262 ที่นั่ง จากปี 2017 แต่สูงกว่าระดับเดิมที่คาดการณ์ไว้ 211 ที่นั่ง
· รายงานจาก Nasdaq ระบุว่า บรรดานักธนาคารและเหล่าเทรดเดอร์ในตลาดลอนดอนมีการลดสถานะการลงทุนและเตรียมความพร้อมก่อนวันหยุด โดยหลายๆคนมีการยกเลิกทริมปเดินทางและทำงานกันตลอดทั้งคืนในวันพรุ่งนี้ เพื่อรอคอยผลการเลือกตั้งอังกฤษที่ไม่อาจคาดเดาได้ และอาจสั่นสะเทือนต่อตลาดได้กับผลที่จะตามมา เนื่องจากนี่ถือเป็นการเลือกตั้งของอังกฤษเป็นครั้งแรกในเดือนธ.ค. ในรอบเกือบทศวรรษ และ Brexit เองก็ยังดำเนินต่อไปตามกำหนดการ
ซึ่งศึกเลือกตั้งครั้งนี้ นาย บอริส จากพรรคอนุรักษ์นิยมได้ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าออกจากอียู ขณะที่นายคอร์บลิน จากพรรคฝ่ายค้าน (พรรคแรงงาน) ให้สัญญาที่จะทำการลงประชามติใหม่
และภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่า การที่ Brexit ดำเนินต่อไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่นายคอร์บลินจะดำเนินการก็ดูเหมือน Brexit จะเป็นเรื่องเลวร้ายกว่า และจะเห็นได้ว่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมากว่า 10% หลังจากที่มีการโหวตออกจากอียูเมื่อมิ.ย. ปี 2016 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านเหรียญที่ไหลออกจากตลาดต่างๆทั่วโลก
ขณะที่โอกาสที่จะเกิดการลงประชามติ Brexit ครั้งที่ 2 อาจเป็นผลเชิงบวกต่อค่าเงินปอนด์ได้ เพราะนโยบายของนายคอร์บลินดูจะเกื้อหนุนเศรษฐกิจได้ดีกับการเผชิญความไม่แน่นอนของ Brexit ที่อาจจะถูกเลื่อนไปอีกครั้ง
· กระทรวงการต่างประเทศตรุกี ระบุว่า พร้อมที่จะตอบโต้หากสหรัฐฯดำเนินการคว่ำบาตรตุรกีกรณีสั่งซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ S-400 จากรัสเซีย
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากที่ข้อมูลภาคอุตสาหกรรมอย่าง API เผย สต็อกนัำมันดิบสหรัฐฯพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปับขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล ที่ 447 ล้านบาร์เรล ขณะที่รายงานจาก EIA หรือภาครัฐบาลจะประกาศในคืนนี้ ขณะเดียวกันตลาดก็รอคอยข่าวว่าสหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้ารอบใหม่จากจีนที่จะมีผลบัคับใช้ในวันอาทิตย์นี้หรือไม่
น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 44 เซนต์ หรือ -0.7% ที่ 63.9 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน WTI ปรับลง 33 เซนต์ หรือ -0.6% ที่ 58.91 เหรียญ/บาร์เรล โดยลดลงจากระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ทำไว้เมื่อวานนี้
อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังดำเนินไปก็อาจส่งผลต่ออุปสงค์ทั่วโลกได้ หากสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนรอบใหม่ที่มีกำหนดเส้นตายใน 15 ธ.ค.นี้