• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2562

    16 ธันวาคม 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ในคืนวันศุกร์ตอบรับกับข่าวที่สหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกและการที่พรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วไปล่าสุดนี้ และทำให้เกิดความชัดเจนถึงทิศทางที่ Brexit จะดำเนินไป จึงช่วยหนนุความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนกลับหาสินทรัพย์เสี่ยง และส่งผลลบต่อสินค้าในกลุ่ม Safe-Haven อย่างค่าเงินดอลลาร์ในเวลานี้

สหรัฐฯและจีนช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของสงครามการค้าได้โดยการประกาศข้อตกลง “เฟสแรก” และยังมีการยกเลิกภาษีสินค้าเมื่อ 15 ธ.ค. รวมทั้งลดภาษีจีน ขณะที่จีนก็จะทำการเข้าซื้อสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นๆของสหรัฐฯเพิ่มเติมโดยมีเป้าหมายที่ 5 หมื่นล้านเหรียญ/ปี ขณะที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าการลงนามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 2 ผู้นำจะเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนม.ค. ที่กรุงวอชิงตัน

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.18% ที่ระดับ 97.22 จุด โดยระหว่างวันลงไปทำต่ำสุดที่ 96.719 จุด

ทางด้านค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 1.31% ที่ 1.3335 ดอลลาร์/ปอนด์ ตอบรับข่าวการเลือกตั้งอังกฤษ

· รายงานจาก Wall Street Journal รายงานว่า สหรัฐฯบรรลุข้อตกลงขั้นแรกกับทางจีน โดยเป้าหมายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือการสร้างสมดุลทางการค้ากับจีน แต่การเห็นพ้องกันล่าสุดก็ก่อให้เกิดคำถามต่อภาคธุรกิจของสหรัฐฯ เนื่องจากข้อตกลงฉบับล่าสุดยังคงมีข้อจำกัด และยังต้องใช้เวลาในการเจรจาต่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงข้อเรียกร้องต่อจีนในการเข้าซื้อสินค้าเกษตรเพิ่ม รวมไปถึงสินค้ากลุ่มส่งออกอื่นๆ

อย่างไรก็ดี การลงนามข้อตกลงเพื่อยุติปัญหาสงครามการค้าชั่วคราวฉบับล่าสุดนั้น ดูจะช่วงระงับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนของทางสหรัฐฯที่จะมีผลในวันอาทิตย์ได้ รวมไปถึงการลดระดับภาษีสินค้าลงบางส่วน แต่ถึงแม้จะมีข้อตกลงการเจรจาก็ยังคงมีการดำเนินต่อไป

ขณะที่ข้อตกลงล่าสุดยังก่อให้เกิดความไม่มั่นใจจากส.ส.สหรัฐฯบางส่วนว่า ข้อตกลงที่มีรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับการที่จีนจะซื้อสินค้าเกษตรเพิ่มนั้นดูจะไม่ยั่งยืนต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระยะยาว อันจะมีผลต่อภาคธุรกิจการเกษตร

· การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนได้ ช่วยให้สหรัฐฯทำการยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 1.56 แสนล้านเหรียญ ในกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฟน, ของเล่น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จะมีผลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ นอกจากนี้ สหรัฐฯยังทำการหั่นภาษีลงครึ่งหนึ่งประมาณ 1.2 แสนล้านเหรียญที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา จาก 15% เหลือเพียง 7.5% ในขณะที่ภาษีอีก 25% มูลค่า 2.50 แสนล้านเหรียญที่เคยเรียกเก็บจีนในหมวดสินค้าเครื่องจักร, อิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์ยังคงอยู่

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังเผยรายละเอียดที่จีนตกลงที่จะเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตรเพิ่ม มูลค่า 3.2 หมื่นล้านเหรียญในอีก 2 ปีข้างหน้า และจะส่งผลให้จีนเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯเป็นมูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญ/ปี และจะเพิ่มขึ้นเป็นอีก 5 หมื่นล้านเหรียญ/ปีด้วย

· นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนการค้าจาก USTR กล่าวว่า การเข้าซื้อสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นของจีนจะทำให้สินค้าเกษตรสหรัฐฯมีการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญในช่วง 2 ปีข้างหน้า และตัวเขา ร่วมกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีคาดหวังว่าจะสามารถลงนามข้อตกลงฉบับดังกล่าวได้ในช่วงเดือนม.ค. ซึ่งเป็นข้อตกลงฉบับชั่วคราวที่จะมีผลบังคับใช้ 30 วันตามมา

· เมื่อวานนี้ ทางการจีนกล่าวว่า จะไม่มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯครั้งใหม่ ที่เคยกำหนดไว้ 5-10% ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมาเช่นกัน รวมทั้งยังระบุถึงการจะยังยกเว้นภาษีรถยนต์และอะไหล่จากสหรัฐฯต่อไป แต่การเจรจาระหว่างสองประเทศก็ยังมีอยู่ต่อไปบนพื้นฐานความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกัน

โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวได้สำเร็จในคืนวันศุกร์เพื่อแก้ไขปัญหาความตึงเครียดของสงครามการค้าที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ก.ค. ปี 2018

· ในวันเสาร์ที่ผ่านมา นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลง "เฟสแรก" ของสหรัฐฯและจีนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ข้อตกลง "เฟส 2" อาจมีความก้าวหน้าในหลายๆขั้นมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ข้อตกลงการค้าเฟสแรกได้นำมาซึ่งการยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีน และจีนก็มีการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจำนวนมากเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสินค้าอื่นๆด้วย

ขณะที่ข้อตกลงฉบับใหม่หรือเฟสแรกนั้น นายมนูชิน แสดงความคาดหวังว่าเราจะเห็นฉบับเต็มได้ในช่วงเดือนม.ค.นี้ และเมื่อนั้นจะตามมาด้วยข้อตกลงเฟส 2 ซึ่งนี่ถือเป็นก้าวสำคัญและหากเรามั่นใจว่าข้อตกลงเฟสแรกนั้นจะสามารถบังคับใช้เป็นข้อตกลงได้ สหรัฐฯก็จะเริ่มต้นเจรจาข้อตกลงเฟส 2 ต่อทันที

· นายหวัง ยี่ ผู้แทนทางการทูตระดับสูงของรัฐบาลจีน กล่าวว่า การที่จีนและสหรัฐฯสามารถทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกได้นั้นถือเป็นเรื่องที่ดี และจะช่วยสร้างเสถียรภาพต่อการค้าโลกได้ แต่ ณ ขณะนี้ก็ยังมีอีกหลายๆประเด็นที่ทางสหรัฐฯและจีนนั้นยังต้องดำเนินการร่วมกันต่อไป แต่การที่ข้อตกลงเกิดขึ้นดูจะช่วยสร้างความมั่นใจให้เศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นด้วย

· แหล่งข่าวจากผู้กำหนดนโยบายจีน เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส โดยระบุว่า จีนมีแผนปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจลงสู่ระดับประมาณ 6% ในปี 2020 จากกรอบ 6 - 6.5% พร้อมอาจมีการเพิ่มการอัดฉีดงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานในสภาวะที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังมีความพยายามที่จะสนับสนุนการเติบโตภาคแรงงานที่ยังมีอย่างจำกัดที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางสังคมได้ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวน่าจะมีการเปิดเผยผ่านรายงานประจำปีต่อทางรัฐสภาในช่วงมี.ค. ปี 2020

· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวถึงการที่จีนเป็นผู้นำ Blockchain และจะให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่อาจนำไปสู่การควบคุมความก้าวหน้าทางเทคนิคโนโลยีที่นำมาใช้แข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ อย่างยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่ง Blockchain ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีจุดเริ่มต้นมาจากบิทคอยน์ และมีการวิวัฒนาการมาประยุกต์ใช้กับระบบการเงิน

· สมาชิเฟดสองราย มองว่าทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯดำเนินไปได้ด้วยดีและมีแนวโน้มจะทรงตัวในทิศทางที่ดีเช่นนี้ตลอดจนปีหน้า จึงดูเหมือนเป็นการสะท้อนว่าเฟดจะยังคงระดับดอกเบี้ยไว้ต่อไป

นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และตลาดแรงงานก็ยังคงมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในรอบ 50 ปี แม้ว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจก็ยังขยายตัวได้ดี และในปีหน้าก็จะมีระดับการขยายตัวต่อไปเช่นนี้

นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ก็แสดงความคิดเห็นในเชิงเดียวกันว่าเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี และทั้งสองคนนี้ถือเป็นผู้ทำงานใกล้ชิดกับ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด จึงเป็นการตอกย้ำสัญญาณที่เฟดจะยังคงระดับดอกเบี้ยต่อไปในอนาคต

· ผลการประกาศข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่คาดในเดือนพ.ย. ที่ระดับ 0.2% ขณะที่เดือนก่อนปรับทบทวนขึ้นมาเป็น 0.4% ท่ามกลางกลุ่มผู้บริโภคสหรัฐฯที่ปรับลดกำลังการใช้จ่ายอย่างมีวินัยมากขึ้น แม้ว่าตลาดแรงงานจะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่ง แต่ก็สะท้อนถึงความกังวลเพิ่มมากขึ้นต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4/2019

อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อนำข้อมูลตลาดแรงงาน, ภาคที่อยู่อาศัย, การค้า และการผลิตก็ดูจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นยังคงขยายตัวได้ดีในระดับปานกลาง แม้ว่าจะเผชิญความผันผวนจากสภาวะ Trade War และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก

· จากรายงานของ CNBC ระบุถึงแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของรัฐบาลอังกฤษในขั้นตอนต่อไปว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นด้วยเสียงข้างมากที่ล้นหลาม ขณะที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอย่างนายเจเรมี คอร์บลิน ได้ประกาศลงจากตำแหน่ง ดังนั้น การถอนตัวออกจากอียูในขั้นแรกน่าจะเริ่มต้นตามกำหนดการเดิม คือวันที่ 31 ม.ค. ปี 2020

สำหรับ 5 ปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลของนายบอริสควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ

1. พยายามเจรจาข้อตกลงการค้าแบบ “ปลอดภาษี ปลอดเงื่อนไข” ร่วมกับอียูให้สำเร็จก่อนสิ้นปี 2020 ซึ่งจะยังเป็นคู่ค้าสำคัญของอังกฤษ แม้จะมีระยะห่างกันมากขึ้นก็ตาม

2.พยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในประเทศให้กลับมาเป็นศูนย์กลางทางการเงินของอียูและทั่วโลกอีกครั้ง

3.พยายามเจรจาข้อตกลงการค้าร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญปัญหาภายในประเทศอย่างการไต่สวน ให้ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพิจารณาเจรจาข้อตกลงการค้าร่วมกับเอเชียเสียก่อน เนื่องจากดูจะเป็นทางเลือกที่ทำได้เร็วกว่าและง่ายกว่า โดยอาจเป็นการที่อังกฤษเข้าร่วมข้อตกลง CPTPP หรือ ข้อตกลง Trans-Pacific Partnership ฉบับใหม่

4.นายบอริสจำเป็นต้องทยอยลดการใช้ถ้อยแถลงในเชิงประชานิยมที่ผลักดันให้เขาสามารถชนะการเลือกตั้งมาได้ และหันมาส่งข้อความในเชิง “ความเป็นประเทศหนึ่งเดียวกัน” เพื่อรักษาความแตกแยกของประชาชน

5.พยายามรักษาสถานะ “สหราชอาณาจักร” ด้วยการหาจุดยืนในอนาคตให้กับสกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการเจรจากับอียูให้สำเร็จน่าจะช่วยเหลือในจุดนี้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม นางนิโคลา สเตอร์เจียน รัฐมนตรีที่ 1 ของสกอตแลนด์ ได้เตือนนายบอริสว่า อังกฤษไม่สามารถบังคับความเห็นของประชาชนในสกอตแลนด์ที่จะถอนตัวออกจากอังกฤษได้ หลังจากที่อังกฤษเคยปฏิเสธไม่ให้สกอตแลนด์ทำการลงประชามติปลดแอดออกจากอังกฤษ แต่หลังจากที่พรรคตัวแทนสกอตแลนด์ในรัฐบาลอังกฤษมีจำนวนที่นั่งมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทำให้สก็อตแลนด์กลับมามีอำนาจในการเจรจมากขึ้น

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 3 เดือน หลังจากที่สหรัฐฯและจีนมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความยืดเยื้อของ Trade War เป็นระยะเวลากว่า 18 เดือน โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 43 เซนต์ หรือ +0.7% ที่ 64.63 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดตั้งแต่ 23 ก.ย.

น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 31 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ระดับ 59.49 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดตั้งแต่ 16 ก.ย.

· นักวิเคราะห์การตลาดจาก CMC Markets ระบุว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนราคาน้ำมันและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับตัวสูงขึ้นด้วย

· นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงก็ดูจะปรับตัวสูงขึ้นได้หลังจากที่ นายทรัมป์ลงนามอนุมัติข้อตกลงกับจีนที่ดูจะเป็นบวกต่ออุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก และหากเรายิ่งเห็นความคืบหน้าของ Trade War มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะเห็นจีดีพีโลกปรับตัวขึ้นได้อีกประมาณ 0.5% ในปี 2020 และนั่นจะส่งผลต่อคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้นได้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com